“ในการศึกษาประวัติศาสตร์ศาสนาโลก พุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวที่พูดเป็นครั้งแรกว่าผู้หญิงมีศักยภาพในการบรรลุเท่ากันกับผู้ชาย ไม่มีศาสนาใดก่อนหน้านั้นพูดแบบนี้ นี่จึงเป็นความงามของคำสอนที่เราไม่ควรปิดบัง”
ไม่มีฆราวาสที่ชื่อ รศ.ดร.ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ อยู่ในโลกนี้นับตั้งแต่ปี 2544 เมื่อเธอตัดสินใจบวชเป็นภิกษุณี ย่อหน้าข้างบนนั่นจึงเป็นคำพูดของ ภิกษุณีธัมมนันทา แห่งวัตรทรงธรรมกัลยาณี จังหวัดนครปฐม
หากใครยังจำได้ เมื่อปี 2544 การบวชเป็นภิกษุณีในสายเถรวาทครั้งนั้นได้สร้างแรงต่อต้านและข้อโต้เถียงในสังคมไทยอย่างกว้างขวางว่า ‘ผู้หญิงบวชได้หรือไม่?’ แม้ว่าเราจะท่องบ่นกันมาตั้งแต่สมัยเรียนประถมว่าภิกษุณีเป็นหนึ่งในพุทธบริษัท 4 ก็ตาม จนกระทั่งทุกวันนี้ ก็ใช่ว่าภิกษุณีจะได้รับการยอมรับจากมหาเถรสมาคมและพระเถระชั้นผู้ใหญ่
ยิ่งเมื่อมีข่าวพระเกย์ที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสมด้วยแล้ว (แน่นอนว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง) ในทางตรงกันข้ามก็ยิ่งตอกย้ำว่าเหมือนโลกนี้จะมีเพียง ‘ผู้ชาย’ เท่านั้นที่สามารถบวชและบรรลุสิ่งสูงสุดในพระพุทธศาสนาได้ แต่คำกล่าวที่ว่า ‘ทุกคนล้วนมีธรรมชาติแห่งพุทธะอยู่ภายใน’ ก็ดูจะขัดแย้งกับความเชื่อในความสามารถที่มีเฉพาะแต่ใน ‘ผู้ชาย’ ข้างต้น
หรือว่าศาสนาพุทธเองก็ยังมีกำแพงบางชนิดที่กีดกันคนที่ไม่ใช่ ‘ผู้ชาย’ ออกไป แต่นั่นเป็นเพราะศาสนาหรือเป็นเพราะคนและมายาคติที่แฝงฝังอย่างแน่นหนากันแน่
วันนี้ วันวิสาขบูชา อีกครั้งกับภิกษุณีธัมมนันทาผู้ยืนยันว่าผู้หญิงสามารถบวชได้และ พระพุทธศาสนเปิดกว้างสำหรับคนทุกเพศที่ต้องการดับทุกข์
*ทราบว่าหลวงแม่เพิ่งกลับจากประเทศมาเลเซีย พุทธศาสนาที่นั่นเป็นอย่างไร
ที่มาเลเซียเป็นจุดที่หลวงแม่ไปดูมา 20 ปีต่อเนื่อง เด็กหนุ่มสาวมหาวิทยาลัยที่นั่น เริ่มต้นจากชมรมพุทธที่เกิดความตระหนักว่าเขาต้องมีความเข้าใจพุทธศาสนามากกว่านั้นทำไม ก็เพราะว่าเขาเป็นประชาชนส่วนน้อย เขาอยู่ในประเทศที่คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอื่น จึงเกิดความตระหนักว่าถ้าปล่อยแบบนี้ต่อไป เขาจะสูญความเป็นพุทธ เมื่อเรียนจบแล้ว เขาก็เลยตั้งเป็นสมาคมพุทธ เกาะกลุ่มกันเหนียวแน่นมาตลอด 20 ปี
เริ่มแรกเขาไม่มีวัด เขาเริ่มต้นจากที่บ้าน ห้องรับแขกเขาจะเปิดโล่ง มาเจอกัน ฝึกวิปัสสนาวันศุกร์ อ่านพระสูตรวันพฤหัสบดี จัดกิจกรรมต่อเนื่องมายาวนานตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ 20 ปีผ่านไปจุดที่เคยเป็นสมาคมก็กลายเป็นวัดใหญ่ มีนักเรียนมาเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ 750 คน ของเรามีวัดที่ไหนบ้างที่มีเด็กเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ 750 คน แบ่งเป็น 2 ชั้น ภาคภาษาจีน 500 คนกับภาคภาษาอังกฤษ 250 คน ที่ยังไม่โตมากกว่านี้เพราะว่าขาดครู ครูเขาก็เป็นอาสาสมัคร
ทีนี้กลับมาบ้านเรา ปรากฏว่าประเทศนี้เป็นประเทศที่คน 95 เปอร์เซ็นต์เป็นพุทธอยู่ในทะเบียนบ้าน ไม่มีความบีบคั้น ไม่มีคู่แข่ง รู้ก็ได้ ไม่รู้ก็ได้ ไม่เดือดร้อน วัดก็มีทั่วไปหมด ไม่ต้องแอบสอน ทุกอย่างฟรีหมด ยังไม่ค่อยจะมีคนเข้าเลย แต่ที่วัดก็ไม่สอน หรือสิ่งที่วัด ที่พระสอนก็ไม่ค่อย ...ต้องใช้คำว่าไม่ค่อยนะ ไม่ค่อยตอบสนองความต้องการของสังคม
แม้ว่าจะมีพระบางกลุ่มที่มีความตื่นตัว แต่ปัญหาของพระบ้านเรา คือมันมีระบบอาวุโส บางทีความคิดมันเกิด แต่มันเกิดกับผู้น้อยที่มีความตื่นตัวกับโลกภายนอก แต่พระผู้ใหญ่ไม่เอาด้วย ก็จะมีปัญหา พระผู้น้อยก็จะมีความรู้สึกว่าเสนอขึ้นไปก็เท่านั้นแหละ ทำอะไรไม่ได้
ถ้าลูกเข้าไปในวัดจะไปถามธรรมะกับพระ ไปถามที่ไหนล่ะ ประชาสัมพันธ์ก็จะบอกแต่ว่าจะทำบุญยังไง แต่ถ้าลูกอยากรู้ธรรมะ ลูกไปหาใคร ลูกมีปัญหา มีความทุกข์ในชีวิต ลูกจะไปคุยกับใคร โครงสร้างของวัดไทยไม่มีตรงนี้
หลวงแม่เคยตีความคำว่าสุขภาวะว่าต้องทั้งกาย ทั้งจิต ถ้ากายลูกเจ็บ โรงพยาบาลจับลูกกายภาพบำบัด แต่เวลาจิตลูกเจ็บ มันไม่มีจิตบำบัดนะ นอกจากเป็นบ้าไปเลย เข้าโรงพยาบาลบ้า แต่ไม่มีส่วนที่ดูแลใจลูกนะ
วัดควรจะเป็นสถานที่ที่ดูแลสุขภาพตรงนี้ แต่วัดในโครงสร้างที่เป็นอยู่ยังไม่เอื้อ เพราะฉะนั้นถ้าสามารถจะนั่งคุยกันได้ว่ารัฐจะเอื้อยังไงให้วัดมีโครงสร้างตรงนี้ พระอาจจะต้องได้รับการฝึกฝนให้ทำตรงนี้ จะต้องมีโครงสร้างของรัฐที่สอดรับกับโครงสร้างของวัด แล้วจะทำตรงนี้ให้เป็นความจริงได้
*ช่วงที่หลวงแม่พยายามบวชเพื่อเป็นภิกษุณีเกิดแรงต่อต้านสูง ทุกวันนี้ภาวะนั้นยังคงอยู่หรือเปล่า
โดยระบบมันยังไม่เปิด แต่โดยบุคคลเราก็ยังสถิตอยู่ได้ ก็แปลว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย คุณวิษณุ (เครืองาม) โดยตำแหน่งตอนนั้นเขาเป็นรองนายกรัฐมนตรี เขาตอบในรัฐสภาเลยนะว่าผู้หญิงบวชไม่ผิดกฎหมาย เราจึงอยู่ได้ แต่กฎหมายก็ไม่รองรับว่ามีภิกษุณี เพราะว่ารัฐบาลโยนไปให้เป็นงานของมหาเถรสมาคม ซึ่งก็ถูกจำกัดโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ว่า คณะสงฆ์หมายถึงภิกษุ โดยสิทธิมหาเถรสมาคมตอบไม่ได้ แต่โดยธรรมวินัยควรจะเป็นผู้จัดการให้มี สิ่งนี้ไม่เกิดขึ้น ย้อนกลับมาที่ไหน ย้อนกลับมาที่เราขาดการศึกษา เพราะว่าเราเป็นอาจารย์ เรามองว่าที่ยังเข้าใจผิดกันเป็นเพราะเราขาดความรู้ ความเข้าใจ ขาดข้อมูล ขาดองค์ความรู้ที่ถูกต้อง
*จำนวนภิกษุณีในเมืองไทยตอนนี้มีสักเท่าไหร่ครับ
ภิกษุณี 8 รูป สามเณรีประมาณ 30 รูป นี่นับตั้งแต่ปี 2544 นะ
*ถ้าอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่าการเผยแผ่เรื่องภิกษุณียังมีน้อยอยู่มาก
ยังน้อยอยู่มาก แต่เทียบกับศรีลังกาในเวลาใกล้เคียงกัน ตอนนี้ของศรีลังกามีภิกษุณีอยู่ 400 รูป แต่นั่นเป็นเพราะว่าภิกษุเขาสนับสนุน แม้ว่ารัฐบาลเขาจะยังไม่เปิดให้ แต่มีพระผู้ใหญ่ระดับสมเด็จเป็นผู้จัดการบวชให้ บรรดาผู้หญิงก็กล้าที่จะออกมา เพราะมีพระผู้ใหญ่ทานกระแสให้ แต่ของเราไม่มีพระผู้ชายที่จะออกมาปกป้องเรา เราก็ทำไป
*ความสัมพันธ์ระหว่างหลวงแม่กับชุมชนที่นี่เป็นอย่างไรครับ
ต้องมาเวลาเราออกบิณฑบาตร เราจะออกบิณฑบาตร 2 วันคือวันพระกับวันอาทิตย์ อาหารเต็มโต๊ะเลย ชาวบ้านดูแลดีมาก รอนะ ถ้าหลวงแม่ช้าไป 5 นาที ขี่จักรยานมาตามเลย แล้วก็ปัญหาของเขาเราก็ดูแล ลูกจะเข้าโรงเรียนที่ไหน หลวงแม่ก็แนะนำ ใครทะเลาะกัน แม่ผัว ลูกสะใภ้ เราดูแลทางจิตใจคนเจ็บที่เป็นมะเร็งกระทั่งตายจากกัน ความสัมพันธ์ดี พายุมา ต้นไม้หัก โรงงานแห่งหนึ่งก็ส่งคนงานมาช่วย
*เอาเข้าจริงๆ แล้วชุมชนก็ไม่ได้ต่อต้าน
ชุมชนสนับสนุนตั้งแต่แรกเลย เพราะวัดนี้อยู่มานานตั้ง 48 ปีแล้ว เขาก็รู้ว่าตรงนี้เป็นวัดผู้หญิง รถเมล์จะเรียกว่าวัดแม่ชี
*แล้วความสัมพันธ์กับวัดอื่นๆ รอบข้าง
วัดอื่นๆ ก็รู้ว่าเราทำอะไร เมื่อตอนที่หลวงแม่นิมนต์ภิกษุณีจากต่างประเทศมา เราก็มีปัญหาว่าเราต้องต่อวีซ่าให้ท่าน เนื่องจากวัดเราไม่ใช่วัดในระบบ เราก็ต้องหาวัดที่จะรองรับเราว่าวัดเราขึ้นอยู่กับเขา ท่านเจ้าคณะจังหวัดก็รู้จักเราดี ท่านเจ้าคณะอำเภอก็ยอมรับ ก็บอกให้เราไปขึ้นอยู่กับวัดที่ใกล้ที่สุด วัดที่ใกล้ที่สุดก็เซ็นให้
แต่คนที่มีปัญหาคือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โทรศัพท์มาถึงวัดที่เซ็นรับเรา ในท้ายที่สุด ท่านกลัวมากจึงถอนหนังสือ แล้วตรวจคนเข้าเมืองก็เรียกพวกเราให้เอาพาสสปอร์ตไปที่ให้อยู่ต่อ เขาก็ยกเลิกหมดเลย เป็นเหตุให้ภิกษุณีต่างชาติ 5 รูป อยู่โดยผิดกฎหมาย ต้องเสียค่าปรับวันละพันบาท 7 วัน ในท้ายที่สุดเราไม่สามารถอยู่ได้ในฐานะนักบวช หลวงแม่ก็ต้องไปหาสถานทูตอินเดียและศรีลังกา ตกลงเราได้รับอนุญาตให้อยู่โดยผ่านคำขอพิเศษของสถานทูต 2 ประเทศนี้ แสดงว่าเราไม่ได้รับความคุ้มครองในฐานะที่เราเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา
ตรงนี้คือความเจ็บปวด เพราประเทศเราคือประเทศพุทธ แต่เรากลับถูกกระทำอย่างนี้ ในขณะที่อินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศมุสลิมนะ แต่ภิกษุณีเขาอยู่ได้โดยที่ระบบของรัฐบาลไม่เข้ามาแทรกแซง จึงได้บอกว่ามันเป็นที่ระบบ ถ้าจะใช้ระบบบีบเรา เราก็จะหาช่องทางลำบาก
*ที่ว่ากันว่าพุทธศาสนาเองก็เป็นศาสนาหนึ่งที่กดทับผู้หญิง หลวงแม่คิดอย่างไร
หลวงแม่ไม่คิดอย่างนั้น หลวงแม่เป็นนักวินัย ทำธีซิสเรื่องพระวินัย ถ้าอ่านทะลุจริงๆ ไม่ใช่ แต่เรามักจะได้ยินพระอ้างพระไตรปิฎกมากดข่ม เช่น พระจะพูดเสมอว่าถ้าผู้หญิงบวชจะทำให้พระศาสนาสั้นลง 500 ปี ย้อนกลับไปดูในพระไตรปิฎกมีคำพูดอย่างนั้นจริงๆ นะ แต่เป็นคำพูดที่ต้องอ่านต่อด้วย คือพระพุทธเจ้าบอกว่าเมื่ออนุญาตให้ผู้หญิงบวชแล้ว ถ้าพระศาสนาอายุพันปีก็จะเหลือ 500 ปี เหมือนกับบ้านที่มีผู้หญิงมาก โจรก็จะเข้าทำร้ายมา เหมือนไร่อ้อยที่เพลี้ยลง ไร่อ้อยก็จะไม่ยั่งยืน แต่ประโยคสุดท้ายที่ไม่มีคนพูดถึงเลย ซึ่งเหมือนเป็นการสรุปทั้งหมด พระพุทธเจ้าท่านก็รู้ว่าน้ำจะท่วมจึงสร้างเขื่อนไว้ป้องกัน นั่นก็คือให้ผู้หญิงรับครุธรรม 8 ประการ เป็นการบอกว่าทั้งหมดที่ว่ามานี้ท่านปกป้องเอาไว้แล้ว แต่ไม่มีคนไหนพูดถึงส่วนนี้เลย
เคยมีเคสสมัยหลวงย่า (มารดาของภิกษุณีธัมมนันทา ซึ่งบวชเป็นภิกษุณีในสายมหายาน) ที่ไม่ให้ผู้หญิงบวช ผู้หญิงชาวต่างประเทศคนนี้เคยเป็นหมอ แต่ก็อุตส่าห์ไปแปลงเพศ แล้วไปทำงานอยู่ในเรือ เพื่อจะได้บวชเป็นพระ ในท้ายที่สุดทางฝ่ายเถรวาทไม่ยอมบวชให้ ท่านจึงไปบวชในสายทิเบต ได้บวชเป็นสามเณร โดยอาการกิริยาข้างนอกจะไม่มีใครรู้เลยว่าท่านเป็นผู้หญิง
หลวงแม่ไม่คิดว่าในตัวคำสอนของพระพุทธศาสนาเองกดขี่ผู้หญิง แต่เป็นวิธีการที่เราเลือกที่จะอ้างถึงโดยนอกบริบทใจความ แล้วมันทำให้เราเกิดมายาคติที่ทำให้คนเชื่อฝังหัวว่าผู้หญิงจะทำให้พระศาสนาเสื่อม
ในทางตรงกันข้ามคิดว่าคำสอนของพระพุทธศาสนายกย่องผู้หญิงด้วยซ้ำไป เพราะถ้าไม่เป็นอย่างนั้น คนอย่างหลวงแม่ไม่บวชหรอก ถ้าเรารู้ว่าแม้กระทั่งพุทธศาสนาก็กดขี่ผู้หญิงแล้วเราจะเข้ามาทำไม ก่อนหน้านั้นผู้หญิงจะต้องขึ้นกับผู้ชายโดยสิ้นเชิง จะสวดมนต์ ทำพิธีบวงสรวงเอง ไม่ได้นะ เตรียมของไว้เสร็จ ก็ต้องให้สามีเป็นผู้นำพิธีบวงสรวง พระพุทธเจ้ายกเลิกหมด บอกว่าไม่ต้องบวงสรวง การเข้าถึงสิ่งสูงสุดในพุทธศาสนา ผู้หญิงสามารถเข้าถึงเองได้ แต่ความเชื่อที่ว่าจะให้แม่ได้เกาะชายจีวรลูกชายก็ยังมีอยู่ แต่นั่นไม่ใช่พุทธ ซึ่งต้องทำความเข้าใจ
หลวงแม่ยืนยันนะว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ยกย่องผู้หญิง ในคัมภีร์นะ แต่การปฏิบัติที่ออกมาที่ไม่สอดคล้องกับตัวคำสอนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เพราะว่าคำสอนในพระธรรมคัมภีร์ยกย่องผู้หญิง เราจึงได้ศรัทธา
*ก่อนหน้านี้มีเรื่องพระเกย์ แล้วก็มีพระผู้ใหญ่ในต่างจังหวัดรูปหนึ่งบอกว่าเกย์บวชไม่ได้ บวชแล้วจะเป็นโมฆะ ในพุทธศาสนากล่าวถึงคนเหล่านี้มั้ย
พูดถึง พูดถึงที่อวัยวะ จะเป็นโมฆะบุรุษเมื่อไม่มีอวัยวะเพศ โมฆะบุรุษคือบวชไม่ได้ สมัยก่อนก็มีขันที ถ้าอย่างนั้นบอกได้เลยว่าบวชไม่ได้
แต่ถ้าเราอยู่ในร่างของผู้ชาย แต่ใจเราเป็นผู้หญิง ในพระไตรปิฎกไม่ได้พูดชัดเจนว่าห้ามคนเหล่านี้ แต่เวลาที่พระถาม อันตรายิกธรรม ซึ่งก็คือสิ่งที่จะเป็นอันตรายต่อการบวช 13 ข้อ จะมีคำถามว่าคุณเป็นผู้ชายหรือเปล่า แล้วยังถามต่อไปด้วยว่าเป็นผู้ชายทางกายหรือทางใจ ถ้าคุณไม่ใช่ผู้ชายทางใจด้วย ทางพระอุปัชฌาย์อาจจะไม่ให้บวชได้ คือมันไม่ชัดเจน แต่เขาต้องการความชัดเจนตรงนี้
จริงๆ แล้วหลวงแม่คิดว่าพระกับเกย์ไม่ไปด้วยกัน เพราะเมื่อคุณเป็นพระแล้ว คุณต้องละความสนใจทางเพศหมดแล้ว แต่ว่าคำถามนี้ขึ้นอยู่กับพระอุปัชฌาย์ว่าตีความพระวินัยอย่างไร สมัยก่อนหลวงแม่สอนพระอยู่ที่ธรรมศาสตร์ หลวงแม่ถามหลวงพี่ว่าแล้วเป็นยังไง เขาก็อยู่ส่วนเขา พระก็บอกว่าไม่ใช่นะ พระที่เกย์เที่ยวไปวิ่งไล่จับพระผู้ชาย มันก็สร้างความไม่สงบในคณะสงฆ์ ลักษณะนี้เจ้าอาวาสไม่ให้บวชได้
*แต่ถ้าเป็นเพศที่สามที่ตั้งใจจะบวชเรียนจริงๆ
เปลี่ยนเพศไปแล้วใช่มั้ย ไม่ได้ เพราะว่าคุณเป็นเพศอะไร พระอุปัชฌาย์จะถามว่าคุณเป็นเพศอะไร เมื่อคุณไปตัดแล้ว ทำยังไงคุณก็ไม่ใช่ผู้หญิงและก็ไม่ใช่ผู้ชาย ในพระไตรปิฎกพูดชัดเจนสำหรับคนที่เป็นบัณเฑาะว์หรือตัดอวัยวะเพศ ยิ่งในกรณีเลสเบี้ยนหรือทอมดูยากใหญ่เลย จริงๆ แล้ว ถ้าเข้ามาบวชแล้วยังมีอุปทานเหล่านั้น หลวงแม่ก็ว่าเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตเป็นพระ
*ฟังแบบนี้ก็เหมือนกับว่าภิกษุหรือภิกษุณีก็คือผู้ที่ปราศจากเพศ
ถูกต้อง ควรจะเป็นคนที่ไปพ้นจากความสนใจในเรื่องเพศ
*ถ้าในกรณีที่ว่า ก่อนหน้าคนคนหนึ่งอาจจะเป็นเกย์ เป็นเลสเบี้ยน แต่ที่สุดแล้วก็มีความตั้งใจที่จะพ้นทุกข์ เมื่อบวชแล้วก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน
ถ้าคุณเคยเป็นเกย์มาก่อน แล้วคุณมาเป็นพระก็ตัดเรื่องนั้นไปเลย อยากจะเป็นพระ หลวงแม่คิดว่าแบบนี้ได้ คุณต้องแยกอดีตกับปัจจุบันนะ อย่าเอาอดีตมาตัดสินปัจจุบัน
*มีคำกล่าวว่าทุกคนมีธรรมชาติของพุทธะในตัวเอง
แน่นอน คนหลากหลายทางเพศเหล่านี้สามารถบรรลุได้ทั้งสิ้น แต่สำหรับการบวชจะมาติดขัดข้อพระวินัย
*ด้วยสภาพสังคมที่ซับซ้อนขึ้นแบบนี้ ศาสนาพุทธก็ควรจะมีการปรับเพื่อให้ตอบรับกับสภาพสังคมและเปิดกว้างหรือเปล่า
ยาก ยากในเถรวาท เพราะเถรวาทถือว่าเขาเป็นส่วนที่จะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลยตามที่เขาตกลงกันมาเมื่อปฐมสังคายนาครั้งที่ 1 จะไม่เพิ่มเติมและจะไม่เพิกถอนของเก่า แต่การที่ไม่บวชให้ภิกษุณีกลับเป็นการหักล้างของเก่า เพราะพระพุทธเจ้าบวชให้ อย่างนี้หลวงแม่ก็จะตอบกลับได้ว่าคุณกำลังหักล้างของเดิมนะ
*มองกรณีการไม่หักล้างอย่างไร
ในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้นะเพราะโลกมันเปลี่ยน ศาสนาพุทธก็บอกว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ถ้าเราเข้าใจในเนื้อหาคำสอนจริงๆ เราก็จะมีวิจารณญาณชัดขึ้น แต่ว่าพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งลุกขึ้นมาเปลี่ยนเองไม่ได้ ต้องเป็นสงฆ์ที่เห็นพ้องกันว่าเปลี่ยน พระพุทธเจ้าให้เปลี่ยนนะ ตอนที่ท่านจะมรณภาพ ท่านบอกว่าต่อไปในอนาคต อาบัติเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะเป็นเรื่องหยุมหยิม คุณสามารถเปลี่ยนได้ พระพุทธเจ้าท่านเห็นการณ์ไกล อนุญาตไว้ เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วทีท่าของศาสนาพุทธไม่ได้แข็งขืนว่าจะต้องอยู่อย่างนี้ตลอดไป แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่สามารถปล่อยให้เหลวเละ อะไรๆ ก็เปลี่ยนได้ จนของเดิมไม่มีเหลืออยู่เลย การปรับให้เข้ากับการเป็นไปของโลก ขณะเดียวกันยังยึดอยู่ในจิตวิญญาณของเดิม ตรงนี้เป็นศิลปะของคณะสงฆ์ ซึ่งเท่าที่ผ่านมาดูเหมือนทางเถรวาทไม่ว่าจะเป็นชาติไหนจะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเอาเลย พม่ายิ่งเยอะกว่านี้
*แสดงว่าการกีดกันผู้หญิงจากพุทธศาสนา ไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทย
ไม่ใช่ เหมือนกันหมดในสายเถรวาท ส่วนมหายานก็น้อยหน่อย
.........
“ปัญหาที่ถามมาเป็นปัญหาปลายเหตุ ปัญหาต้นเหตุคือเรายังไม่รู้เลยว่าที่เราเป็นพุทธนั้นคืออะไร ทุกคนสามารถที่จะเข้าถึงซึ่งการรู้แจ้งได้เหมือนกันหมด ความรู้แจ้งเป็นเป้าหมายในชีวิตของเรา เราจะเพียรพยายามเข้าสู่ความรู้แจ้ง เข้าสู่ความดับทุกข์ แม้ความเพียรของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่เราต้องมีเป้าเดียวกัน เมื่อเราพูดอย่างนี้จะมีการรวมกลุ่ม ไม่มีการแบ่งแยกเพศแล้ว เพราะเวลาทุกข์ก็ทุกข์เหมือนกัน ตายเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็หมดทุกข์ได้ เมื่อเรามีความเข้าใจชัดเจนแบบนี้การกีดกัน การแบ่งแยกจะค่อยๆ ตกไปโดยปริยาย
“ย้อนกลับมาที่การปฏิบัติเพื่อการคลายทุกข์ หลวงแม่คิดว่าอะไรก็ตามที่เราทำ ให้ตรวจสอบดูว่าเป็นไปเพื่อการคลายทุกข์มั้ย บ่อยครั้งที่เรามีทุกข์แล้วเราไปแสวงหา แต่สิ่งที่เราทำมันไม่ใช่เพื่อการคลายทุกข์ แต่กลับมีทุกข์เพิ่มขึ้น
“ศาสนาพุทธจึงไม่ได้พูดเรื่องอื่นเลย พูดแค่ว่าทุกข์คืออะไร แล้วก็ให้ออกจากทุกข์ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ซื่อมาก”
*************
เรื่อง-กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล