สภาวะของใจที่แท้ ต้องตั้งอยู่บนฐานของ
"สิ่งที่กำลังรู้สึก" มิใช่ไปโน้มอิงอยู่ใน "สิ่งที่เคยรู้สึก"
บทความเรื่องที่ 40
การจำกัดวงกรอบของทุกข์
ด้วยการเฝ้าดูจิต
ช่วงสงกรานต์ มีวันหยุดยาว...ติดต่อกันหลายวัน แต่ไม่ว่าจะก้าวพ้นธรณีประตูออกไปทางไหน มีอันต้องเจอเตาอบ หลายคน จึงตัดสินใจแช่แข็งตัวเองอยู่กับบ้านสะสางงานเก่าที่คั่งค้าง หรือนอนอ่านหนังสือกองโตที่เลือกไว้
ผู้เขียนทำครบทุกอย่าง โดยเฉพาะการค้นข้อมูลถอดเทปของทีมอาสาสมัครจากชมรมคนรู้ใจมาอ่าน โดนใจกับคำบรรยายครั้งที่ 8 เมื่อวันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน 2550 ของ ศ.เกียรติคุณ ดร.อภิณัฏฐ์ กิติพันธุ์ ที่ท่านผู้อ่านสามารถฟังย้อนหลังได้จาก www.dhamaforlife.com
*ดร.อภิณัฏฐ์ กิติพันธุ์ ได้พูดถึงการทำสมาธิและวิปัสสนากรรมฐานไว้ว่า เป็นการทำให้เรารับรู้สภาวะของใจ ให้ใจได้เรียนรู้ว่าเรากำลังทุกข์หรือสุขอย่างไร หากเรารู้สึกทุกข์ ก็รู้ว่าทุกข์นั้นเกิดจากสิ่งใด
ส่วนอารมณ์ คือสิ่งที่ทำให้เราเตลิด ทั้งความยินดี ยินร้าย ดังนั้น การเจริญสมาธิ ก็คือ การทำให้ใจเจริญงอกงาม อันจะช่วยให้เรามีภูมิคุ้มกันในการใช้ชีวิตกับปัจจุบันให้มากขึ้น
การต้องวนเวียนอยู่ในสภาวะทุกข์ ทำให้ชีวิตไร้ค่า แต่หากเรามีปัญญาเบิกบาน รู้เท่าทันปัญหา หรือสิ่งที่มีอิทธิพลมาเบียดเบียนใจเราได้ ความทุกข์ก็จะน้อยลง
การฝึกใจให้รู้เท่าทัน ทำให้ใจโปร่งเบาสบาย เพราะสภาวะของใจที่แท้ต้องตั้งมั่นอยู่บนฐานของ "สิ่งที่กำลังรู้สึก" มิใช่ไปโน้มอิงอยู่ใน "สิ่งที่เคยรู้สึก" หรือเคยปรารถนา แม้การเอาเรื่องเก่าที่ค้างคากลับมาสู่ใจ และในขณะที่เรานั่งกรรมฐาน ก็อย่าได้เพลิดเพลินตามอารมณ์ ความคิด แต่ให้อ่านใจตลอดเวลาว่า ภายในนั้นมีอะไรกำลังครองใจอยู่ และมันควรอยู่ตรงนั้นหรือไม่?
นอกจากนี้ เรายังควรแผ่เมตตา ด้วยจิตปรารถนา ด้วยทาน ด้วยศีล ด้วยภาวนาที่ได้เคยถือปฏิบัติ เพื่อแผ่ไปยังบิดามารดา ญาติสนิทมิตรสหาย บรรพบุรุษ ผีสางเทวดา เพื่อนมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน สัมภเวสี โดยในการนั่งปฏิบัติกรรมฐาน นั่งแล้วต้องสำรวจดูว่าใจสงบ สะอาดหรือไม่ ให้รู้ถึงการกระทำ พฤติกรรม กิริยา คำพูดของเราว่า ดีหรือชั่ว เราได้พูดเท็จ พูดเพ้อเจ้อ พูดส่อเสียด พลั้งเผลอไปหรือไม่
ใจที่มีพื้นฐานสะอาด จะปฏิเสธสิ่งสกปรกเอง เราจะเข้าใจได้โดยการเรียนรู้จากความจำเก่า แล้วนำปรากฏการณ์ความเข้าใจ ใหม่ๆ มาต่อยอดกำหนดกรอบพฤติกรรมใหม่ๆ ต่อไปเป็นลูกโซ่
ดังนั้น หากเราหมั่นเฝ้าสังเกตจนเห็นสภาพจริงของ สิ่งทั้งหลาย ดังปรากฏตามคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า แท้จริงชีวิต ประกอบด้วยภาวะ 3 ประการ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เห็นจริงและจดจำได้ด้วยความเข้าใจสักครั้ง หากเห็นย้ำได้ซ้ำบ่อยๆ พฤติกรรมความทะยานอยาก ต้องเหนื่อยยากทำตามแรงกิเลสกำกับก็จะลดลง ความสุขสงบสันติในจิตก็จะทวีคูณขึ้น เกิดความ รู้สึกพอเพียง และเพรียบพร้อมอยู่ในอก สามารถประคับประคองกายกลางลำตัวอย่างพอดี จิตใจได้ศูนย์ เกิดความรู้สึกสมดุลและพบกับความปลอดโปร่ง
ยามใดเกิดความกังวลนึกคิดในเรื่องใด ก็จะรู้เท่าทันว่า เกิดขึ้นเพราะเรารู้สึกทึกทักเอาว่าสิ่งนั้นเป็นของเรา รู้ทันในสิ่งบีบคั้นที่ทำให้จิตใจหวั่นไหว และยอมรับได้ในสภาวะ 3 แบบ คือ การเสื่อม การถูกช่วงชิง และการไม่สามารถอยู่ในสภาพที่พอใจ ได้ตลอด เจตนาตามแรงปรารถนาที่จะเหนี่ยวภาวะแห่งความพอใจ ให้อยู่กับเราไปนานๆ นี่แหละ เป็นเหตุแห่งการแบกทุกข์ เพราะสร้างภาระในภาวะวาดหวังทางจิตให้เกิดขึ้น
การเฝ้าดูจิต จึงคือการจำกัดวงกรอบของทุกข์ ที่ทำให้เรา รู้ว่าอะไรคือทุกข์ในขณะจิตนี้ และรู้ว่าทุกข์นั้นมีสาเหตุมาจากอะไร
ดังนั้น หากใครไปฟังธรรมแล้วง่วงหรือเผลอนั่งหลับ รู้หรือไม่ว่ากำลังขาดทุน แม้จะมาด้วยศรัทธา แต่หาได้มีปัญญาไม่ จึงควร ปรับท่าทีแห่งจิตให้กระฉับกระเฉงด้วยความตั้งใจมั่นในการสร้าง เหตุแห่งความดีเสียใหม่ จะได้ไม่มานั่งสัปหงกเอาหัวโขกคนข้างหน้า หรือเผลอสะบัดมือสะบัดเท้าไปเตะคนข้างๆ อย่างที่เคยเป็น
การนั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนากรรมฐานด้วยใจสมถะ ถึงฐาน มีกำลังจิตที่เป็นกุศลเท่านั้น จึงจะเป็นทางออกจากความมืดมัว สู่ประตูใจอันเบิกบาน อิ่มเอม เกิดปีติ มีปัญญามาประคับประคองใจอยู่เสมอ*
ค่ะ ก็คัดย่อมาให้อ่านกันตามที่เป็นจริง บางท่านอาจจะงงว่า มีด้วยหรือ ที่มานั่งสัปหงกเป็นนกหัวขวานในห้องปฏิบัติกรรมฐาน อาจเป็นเพราะแอร์เย็นสบาย และท้องกำลังอิ่มเกินไปกระมัง จึงเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ให้เห็นกันบ่อยๆ จนต้องหมายหัวเอาไว้ว่า หากสังเกตเห็นรายเก่ามาจองที่นั่งด้านหน้าละก็ คงต้องขอให้ เจ้าหน้าที่ย้ายท่านไปนั่งด้านหลัง หรือจะให้ออกไปล้างหน้าล้างตาให้ตาสว่างเสียก่อน จึงค่อยเชิญกลับเข้ามาใหม่
คนที่อยู่ปนๆ กันในสังคม ก็เหมือนหลากพันธุ์ไม้ใน ป่าเบญจพรรณ แม้จะเสียดยอด ขึ้นสะเปะสะปะ ดูรุงรังไปบ้าง ก็ยังดูงามกว่าไม้ตายซาก
ตราบใดที่ยังมีลมหายใจกันอยู่ ปุถุชนทุกคนย่อมพัฒนาต่อได้ หากว่าวิสัยแห่งความใฝ่ศึกษายังมีเชื้อ เหลือเศษอยู่ในใจบ้าง
เรามาลองปรับธาตุขันธ์กันใหม่ในงานนี้ ผู้เขียนขอท้าพิสูจน์ ว่า การแสดงดนตรีไทยพรรณนา จัดโดยชมรมคนรักวังพญาไท ในโอกาสครบ 100 ปี วังพญาไท บรรเลงโดยวงดนตรีไทยชมรมบ้านชีวานุภาพ นำโดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณด้านพุทธปรัชญา จากประเทศศรีลังกา ดร.อภิณัฏฐ์ กิติพันธุ์ จะพรรณนาประกอบการบรรเลงดนตรีไทย ชุด อมรินทรา มหาเทวะแห่งพระพุทธศาสนา ได้ทั้งสุนทรียศิลป์และสาระ คติตัวอย่างของการสร้างสมคุณความดี ทบทวีตลอดสายสู่การบรรลุธรรม ณ ห้องประชุม ชั้น 10 โรงพยาบาลพระมงกุฎ พญาไท กรุงเทพฯ ในวันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม 2551 เริ่มตั้งแต่เวลา 13.00-17.00 น. ผู้สำรองที่นั่งไว้ ล่วงหน้า ขอรับบัตรพร้อมเลขที่นั่งฟรี ได้หน้างาน ก่อนเวลา 11.00 น.
ติดต่อสำรองที่นั่งได้ที่ คุณอรพินท์ โทร.08-9893-6622 หรือ e-mail : cat005or@yahoo.com
"สิ่งที่กำลังรู้สึก" มิใช่ไปโน้มอิงอยู่ใน "สิ่งที่เคยรู้สึก"
บทความเรื่องที่ 40
การจำกัดวงกรอบของทุกข์
ด้วยการเฝ้าดูจิต
ช่วงสงกรานต์ มีวันหยุดยาว...ติดต่อกันหลายวัน แต่ไม่ว่าจะก้าวพ้นธรณีประตูออกไปทางไหน มีอันต้องเจอเตาอบ หลายคน จึงตัดสินใจแช่แข็งตัวเองอยู่กับบ้านสะสางงานเก่าที่คั่งค้าง หรือนอนอ่านหนังสือกองโตที่เลือกไว้
ผู้เขียนทำครบทุกอย่าง โดยเฉพาะการค้นข้อมูลถอดเทปของทีมอาสาสมัครจากชมรมคนรู้ใจมาอ่าน โดนใจกับคำบรรยายครั้งที่ 8 เมื่อวันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน 2550 ของ ศ.เกียรติคุณ ดร.อภิณัฏฐ์ กิติพันธุ์ ที่ท่านผู้อ่านสามารถฟังย้อนหลังได้จาก www.dhamaforlife.com
*ดร.อภิณัฏฐ์ กิติพันธุ์ ได้พูดถึงการทำสมาธิและวิปัสสนากรรมฐานไว้ว่า เป็นการทำให้เรารับรู้สภาวะของใจ ให้ใจได้เรียนรู้ว่าเรากำลังทุกข์หรือสุขอย่างไร หากเรารู้สึกทุกข์ ก็รู้ว่าทุกข์นั้นเกิดจากสิ่งใด
ส่วนอารมณ์ คือสิ่งที่ทำให้เราเตลิด ทั้งความยินดี ยินร้าย ดังนั้น การเจริญสมาธิ ก็คือ การทำให้ใจเจริญงอกงาม อันจะช่วยให้เรามีภูมิคุ้มกันในการใช้ชีวิตกับปัจจุบันให้มากขึ้น
การต้องวนเวียนอยู่ในสภาวะทุกข์ ทำให้ชีวิตไร้ค่า แต่หากเรามีปัญญาเบิกบาน รู้เท่าทันปัญหา หรือสิ่งที่มีอิทธิพลมาเบียดเบียนใจเราได้ ความทุกข์ก็จะน้อยลง
การฝึกใจให้รู้เท่าทัน ทำให้ใจโปร่งเบาสบาย เพราะสภาวะของใจที่แท้ต้องตั้งมั่นอยู่บนฐานของ "สิ่งที่กำลังรู้สึก" มิใช่ไปโน้มอิงอยู่ใน "สิ่งที่เคยรู้สึก" หรือเคยปรารถนา แม้การเอาเรื่องเก่าที่ค้างคากลับมาสู่ใจ และในขณะที่เรานั่งกรรมฐาน ก็อย่าได้เพลิดเพลินตามอารมณ์ ความคิด แต่ให้อ่านใจตลอดเวลาว่า ภายในนั้นมีอะไรกำลังครองใจอยู่ และมันควรอยู่ตรงนั้นหรือไม่?
นอกจากนี้ เรายังควรแผ่เมตตา ด้วยจิตปรารถนา ด้วยทาน ด้วยศีล ด้วยภาวนาที่ได้เคยถือปฏิบัติ เพื่อแผ่ไปยังบิดามารดา ญาติสนิทมิตรสหาย บรรพบุรุษ ผีสางเทวดา เพื่อนมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน สัมภเวสี โดยในการนั่งปฏิบัติกรรมฐาน นั่งแล้วต้องสำรวจดูว่าใจสงบ สะอาดหรือไม่ ให้รู้ถึงการกระทำ พฤติกรรม กิริยา คำพูดของเราว่า ดีหรือชั่ว เราได้พูดเท็จ พูดเพ้อเจ้อ พูดส่อเสียด พลั้งเผลอไปหรือไม่
ใจที่มีพื้นฐานสะอาด จะปฏิเสธสิ่งสกปรกเอง เราจะเข้าใจได้โดยการเรียนรู้จากความจำเก่า แล้วนำปรากฏการณ์ความเข้าใจ ใหม่ๆ มาต่อยอดกำหนดกรอบพฤติกรรมใหม่ๆ ต่อไปเป็นลูกโซ่
ดังนั้น หากเราหมั่นเฝ้าสังเกตจนเห็นสภาพจริงของ สิ่งทั้งหลาย ดังปรากฏตามคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า แท้จริงชีวิต ประกอบด้วยภาวะ 3 ประการ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เห็นจริงและจดจำได้ด้วยความเข้าใจสักครั้ง หากเห็นย้ำได้ซ้ำบ่อยๆ พฤติกรรมความทะยานอยาก ต้องเหนื่อยยากทำตามแรงกิเลสกำกับก็จะลดลง ความสุขสงบสันติในจิตก็จะทวีคูณขึ้น เกิดความ รู้สึกพอเพียง และเพรียบพร้อมอยู่ในอก สามารถประคับประคองกายกลางลำตัวอย่างพอดี จิตใจได้ศูนย์ เกิดความรู้สึกสมดุลและพบกับความปลอดโปร่ง
ยามใดเกิดความกังวลนึกคิดในเรื่องใด ก็จะรู้เท่าทันว่า เกิดขึ้นเพราะเรารู้สึกทึกทักเอาว่าสิ่งนั้นเป็นของเรา รู้ทันในสิ่งบีบคั้นที่ทำให้จิตใจหวั่นไหว และยอมรับได้ในสภาวะ 3 แบบ คือ การเสื่อม การถูกช่วงชิง และการไม่สามารถอยู่ในสภาพที่พอใจ ได้ตลอด เจตนาตามแรงปรารถนาที่จะเหนี่ยวภาวะแห่งความพอใจ ให้อยู่กับเราไปนานๆ นี่แหละ เป็นเหตุแห่งการแบกทุกข์ เพราะสร้างภาระในภาวะวาดหวังทางจิตให้เกิดขึ้น
การเฝ้าดูจิต จึงคือการจำกัดวงกรอบของทุกข์ ที่ทำให้เรา รู้ว่าอะไรคือทุกข์ในขณะจิตนี้ และรู้ว่าทุกข์นั้นมีสาเหตุมาจากอะไร
ดังนั้น หากใครไปฟังธรรมแล้วง่วงหรือเผลอนั่งหลับ รู้หรือไม่ว่ากำลังขาดทุน แม้จะมาด้วยศรัทธา แต่หาได้มีปัญญาไม่ จึงควร ปรับท่าทีแห่งจิตให้กระฉับกระเฉงด้วยความตั้งใจมั่นในการสร้าง เหตุแห่งความดีเสียใหม่ จะได้ไม่มานั่งสัปหงกเอาหัวโขกคนข้างหน้า หรือเผลอสะบัดมือสะบัดเท้าไปเตะคนข้างๆ อย่างที่เคยเป็น
การนั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนากรรมฐานด้วยใจสมถะ ถึงฐาน มีกำลังจิตที่เป็นกุศลเท่านั้น จึงจะเป็นทางออกจากความมืดมัว สู่ประตูใจอันเบิกบาน อิ่มเอม เกิดปีติ มีปัญญามาประคับประคองใจอยู่เสมอ*
ค่ะ ก็คัดย่อมาให้อ่านกันตามที่เป็นจริง บางท่านอาจจะงงว่า มีด้วยหรือ ที่มานั่งสัปหงกเป็นนกหัวขวานในห้องปฏิบัติกรรมฐาน อาจเป็นเพราะแอร์เย็นสบาย และท้องกำลังอิ่มเกินไปกระมัง จึงเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ให้เห็นกันบ่อยๆ จนต้องหมายหัวเอาไว้ว่า หากสังเกตเห็นรายเก่ามาจองที่นั่งด้านหน้าละก็ คงต้องขอให้ เจ้าหน้าที่ย้ายท่านไปนั่งด้านหลัง หรือจะให้ออกไปล้างหน้าล้างตาให้ตาสว่างเสียก่อน จึงค่อยเชิญกลับเข้ามาใหม่
คนที่อยู่ปนๆ กันในสังคม ก็เหมือนหลากพันธุ์ไม้ใน ป่าเบญจพรรณ แม้จะเสียดยอด ขึ้นสะเปะสะปะ ดูรุงรังไปบ้าง ก็ยังดูงามกว่าไม้ตายซาก
ตราบใดที่ยังมีลมหายใจกันอยู่ ปุถุชนทุกคนย่อมพัฒนาต่อได้ หากว่าวิสัยแห่งความใฝ่ศึกษายังมีเชื้อ เหลือเศษอยู่ในใจบ้าง
เรามาลองปรับธาตุขันธ์กันใหม่ในงานนี้ ผู้เขียนขอท้าพิสูจน์ ว่า การแสดงดนตรีไทยพรรณนา จัดโดยชมรมคนรักวังพญาไท ในโอกาสครบ 100 ปี วังพญาไท บรรเลงโดยวงดนตรีไทยชมรมบ้านชีวานุภาพ นำโดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณด้านพุทธปรัชญา จากประเทศศรีลังกา ดร.อภิณัฏฐ์ กิติพันธุ์ จะพรรณนาประกอบการบรรเลงดนตรีไทย ชุด อมรินทรา มหาเทวะแห่งพระพุทธศาสนา ได้ทั้งสุนทรียศิลป์และสาระ คติตัวอย่างของการสร้างสมคุณความดี ทบทวีตลอดสายสู่การบรรลุธรรม ณ ห้องประชุม ชั้น 10 โรงพยาบาลพระมงกุฎ พญาไท กรุงเทพฯ ในวันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม 2551 เริ่มตั้งแต่เวลา 13.00-17.00 น. ผู้สำรองที่นั่งไว้ ล่วงหน้า ขอรับบัตรพร้อมเลขที่นั่งฟรี ได้หน้างาน ก่อนเวลา 11.00 น.
ติดต่อสำรองที่นั่งได้ที่ คุณอรพินท์ โทร.08-9893-6622 หรือ e-mail : cat005or@yahoo.com