xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมะ ฮากลิ้ง สาระซาบซ่า แบบฉบับ “พระมหาสมปอง”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต แห่งวัดสร้อยทอง
เจาะลึกทุกกลเม็ด ไขทุกรายละเอียดของ “พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต” กับ ความสำเร็จสูงสุดของแบรนด์ “ธรรมะเดลิเวอรี่” และสโลแกน “สุขกันเถอะโยม” พระนักเทศน์ที่มีคิวบรรยายธรรมเต็มจนถึงต้นปีหน้า การทำงานเป็นทีมของกลุ่มพระนักเทศน์หนุ่มกลุ่มเล็ก ๆ ตั้งแต่คิดมุก หาข้อมูล ตอบกระทู้บรรดาลูกศิษย์ (แฟนคลับ) เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย

“ธรรมะเดลิเวอรี่” หรือว่า “ธรรมะส่งตรงถึงที่” เป็นปรากฏการณ์หนึ่งในสังคมไทย คนรู้จักกันทั่วบ้านทั่วเมืองตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา ท่ามกลางสภาพปัญหานานาที่รุมเร้าสังคมไทย การบริการธรรมะไปถึงที่ ภายใต้คำขวัญ “สนุกถึงที่ ซึ้งถึงใจ” หรือ “สุขกันเถอะโยม” จึงเป็นอะไรที่โดนใจผู้คนในสังคม

“คนไม่ค่อยได้เข้าวัด ด้วยเศรษฐกิจ สังคม ข้าวยากหมากแพง น้ำมันขึ้นราคา ขึ้นทุกอย่างยกเว้นเงินเดือน ปากกัดตีนถีบจึงไม่ค่อยมีเวลา “ธรรมะจังเลย ฟังธรรมะกันเถอะ” เราก็ไปบริการถึงที่ สนุกถึงที่ ซึ้งถึงใจ เพื่อให้เป็นธรรมะเดลิเวอรี่ ส่งให้ถึงเขาเลย” คำบอกเล่าของ พระมหาสมปอง ผู้ก่อตั้งกลุ่มพระวิทยากร ภายใต้ชื่อธรรมะเดลิเวอรี่

แต่กว่าที่จะมาเป็น ธรรมะเดลิเวอรี่ ดังเช่นที่เห็นในปัจจุบัน พระมหาสมปอง ถือเป็นพระนักเทศน์พรสวรรค์ก็ว่าได้ เพราะมีแววเป็นพระนักเทศน์มาตั้งแต่เมื่อครั้งบวชเป็นสามเณรอยู่ วัดตาลเรียง จ.ขอนแก่น

“ตอนเป็นเณรเทศน์เรื่องบุหรี่ ยืมมุกพระพยอมมาใช้ เอ้อ...คนเรานี่โง่นะ บุหรี่นี่คาบไว้มันก็ติดสิ ถ้าอ้าปากมันก็หลุดลงมาแล้ว เท่านั้นแหละ ญาติโยมก็ฮากันทั้งวัด พระที่นั่งแถวหลังบางรูปคาบบุหรี่อยู่ ก็ไอกันแคร็ก ๆ"

การเทศน์ถือเป็นความชอบส่วนตัว พระมหาสมปอง บอกว่า ที่อยู่ในสมณเพศ ได้จนถึงทุกวันนี้ก็ด้วยการเป็นพระนักเทศน์ เป็นพระวิทยากร ได้เผยแผ่ธรรมะ ชอบมาตั้งแต่เป็นสามเณรเด็กๆ เวลาญาติโยมนิมนต์พระท่านไปเทศน์ที่ไหน สามเณร รูปนี้ก็จะขอติดตามไปด้วย

แน่นอนว่า การสั่งสมประสบการณ์และชั่วโมงบินจนก้าวขึ้นมาเป็นพระวิทยากรอันดับต้น ๆ ของเมืองไทยไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กล่าวสำหรับพระมหาสมปองแล้ว กว่าที่จะเป็นได้ทุกวันนี้ก็ใช้ระยะเวลานับ 10 ปี นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับความพากเพียรฝึกฝนและความวิริยะอุตสาหะมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน

“อาตมาเป็นพระวิทยากรใหม่ ๆ ไปกับพระวิทยากรเก่งๆ จดบันทึก สนุกไปกับท่าน อยากพูดได้หัวเราะ ซาบซึ้ง ได้สาระ คมชัดลึกเหมือนท่าน อาตมาก็สั่งสมมาเป็นเวลานับ 10 ปี แต่สั่งสมด้วยความสุข ด้วยความสนุก ที่สำคัญต้องสังเกตกิริยาอาการของญาติโยมว่ามีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร สนุกคือหัวเราะ ซาบซึ้งคือร้องไห้ เข้าใจคือพยักหน้า”

กล่าวสำหรับยุคเริ่มต้นเมื่อประมาณ 9 ปีที่ผ่านมา ได้ฟอร์มทีมพระวิทยากรในนาม “ธรรมะเดลิเวอรี่” เป็นการรวมกันแบบหลวมๆ ของพระวิทยากรร่วมอุดมการณ์อีก 2-3 รูปก่อน ช่วงแรกๆ หน่วยงาน องค์กร หรือ โรงเรียน แม้ว่าไม่เชิญมาก็เสนอตัวไป ส่งหนังสือไปตามสถานที่ต่างๆ

พระมหาสมปองเล่าย้อนถึงหลักการทำงานช่วงแรกๆ ว่า เน้นหลักการง่ายๆ ว่า ต้องทำให้มันติดตลาด ถ้าเป็นภาษาบริหารธุรกิจก็คือ ต้องเน้นความต้องการของผู้บริโภค คนไทยต้องการธรรมะแบบความสุขหน่อย ก็เปิดหัวโดยมีความสุขให้เขา มีสาระคือมีธรรมะให้ สุดท้ายก็มีความซาบซึ้งให้ ประทับใจเป็นการปิดท้าย

“เรามี 5 ส. นุก เพื่อเปิดใจ าระ นำไปใช้ งบ เพื่อให้จิตใจได้ร่มเย็น เกิดติ เกิด สำนึกว่าเราจะต้องกลับไปทำอะไร นี่คือสิ่งสำคัญที่เราเน้นในการเป็นธรรมะเดลิเวอรี่”

สำหรับที่มาของ ธรรมะเดลิเวอรี่ จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องใหม่ พระมหาสมปอง เล่าย้อนไปไกลถึงสมัยพุทธกาลว่า ตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ในวันวิสาขบูชา (ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน) ผ่านไปสองเดือนวันอาสาฬหบูชา จึงเผยแผ่ธรรมะ ไม่ได้รอให้ปัญจวัคคีย์ทั้งห้ามารอนั่งฟัง พระองค์ท่านส่งธรรมะถึงที่ ถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวันเลย

ช่วงประมาณปี 2549 ธรรมะเดลิเวอรี่เริ่มเป็นที่รู้จักของสังคมไทย เมื่อได้ออกรายการโทรทัศน์ เริ่มจาก รายการมันแปลกดีนะ จากนั้นผลตอบรับก็ดีเรื่อยมา มีหลายรายการเชิญไปออกอีก มีนิตยสารวารสารติดต่อสัมภาษณ์ จนกระทั่งเริ่มมีรายการธรรมะเดลิเวอรี่ออกอากาศครั้งแรก 1 มกราคม 2550 และตอนนี้ก็เข้าสู่ปีที่ 2 ที่ธรรมะเดลิเวอรี่ได้ออกสื่อ

“จำได้ ตอนไปออกรายการเจาะใจ เคยวางเป้าหมายไว้ อยากมีคนฟังสัก 100,000 คน เพราะตอนนั้นบรรยายทีก็ 100-200 คน แต่ตอนนี้ทะลุ 100,000 คนไปนานแล้ว เพราะว่าเดือนหนึ่ง 150-200 งาน บางงาน 1,000 คนก็มี ยังไม่นับที่ติดตามผ่านสื่อ”

ปัจจุบัน ธรรมะเดลิเวอรี่ มีพระวิทยากร 5 รูป พระเลขาฯ 4 รูป รวมเป็น 9 รูป และทีมงานฆราวาสอีก 6-7 คนด้วยกัน พระมหาสมปอง บอกว่า การดำเนินการของ ธรรมะเดลิเวอรี่ เรียกว่าทำงานเป็นทีม หรือภาษาการตลาดก็ต้องบอกว่าสร้างแบรนด์เป็นทีม

“วิทยากรทุกรูปในทีมต้องบรรยายได้ดีกว่าอาตมาหรือเก่งกว่า ถ้าอาจารย์ท่านใดบกพร่องตรงไหนต้องบอกกัน เฉื่อยตรงไหน บกพร่องตรงไหน ต้องบอกกัน ถือหลักที่ว่า ไม่ให้ยึดติดพระ พระมหาสมปองไม่มาไม่ฟัง เราสร้างแบรนด์ขึ้นมาเป็นทีม ซึ่งไม่ค่อยมีใครสร้าง”

คณะสงฆ์ในทีมธรรมะเดลิเวอรี่แต่ละรูปก็มีบทบาทแตกต่างกันออกไป พระวิทยากร แผนกเลขาฯ มัลติมีเดีย แผนกหาข้อมูล แผนกเว็บไซต์ แผนกรับโทรศัพท์เหมือน Call Center หัวข้อเรื่องนี้ยากไม่เคยบรรยาย ก็หาข้อมูลมาคุยกัน อยากบรรยายในหัวข้อพระราชอารมณ์ขันของในหลวง ก็ไปหาหนังสือมาอย่างนี้เป็นต้น ส่วนฆราวาสญาติโยมที่เป็นทีมงาน ก็จัดเตรียมรถ จัดเตรียมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เตรียมสถานที่ ติดต่อประสานงาน

“การรับโทรศัพท์ต้องช่วยกัน วันหนึ่ง 200-300 สาย โทรทั้งวัน บางทีกลางคืนก็โทรมา ต้องฝากบอกญาติโยมว่ากลางวันถ้าโทรไม่ติด ไม่ใช่เรื่องแปลกนะ เพราะโทรยากมาก ขนาดมี 5-6 เครื่องแล้วนะ”

กระแสความนิยมของ ธรรมะเดลิเวอรี่ หนึ่งเลยวัดได้จากจำนวนกิจนิมนต์ พระมหาสมปอง เผยว่า ปัจจุบันมีคิวกิจนิมนต์เต็มจนถึงต้นปีหน้า หน่วยงานที่มานิมนต์ก็มีตั้งแต่ บริษัท ห้างร้าน หน่วยงานราชการ โรงเรียน มหาวิทยาลัย เฉลี่ยแล้วเกือบ ๆ 10 งานต่อวัน เดือนหนึ่งก็ประมาณ 150-200 งานไม่ขาด ถ้ากิจนิมนต์มาก ๆ ก็มีพระวิทยากรหลายท่านแยก ๆ กันไป

“ได้วิเคราะห์ว่าทำไมงานมี 150-200 งานต่อเดือน คุยกันทุกเย็น มีการคอมเมนท์งานกันตลอด วันนี้ดียังไง ไม่ดียังไง เฉื่อยยังไง เวิร์คอย่างไร ไม่เวิร์คอย่างไร หลักการคิดก็ง่าย ๆ ซึ่งมันก็ไม่ได้ยากอะไรในการคิด เราก็จะคิดเทคนิควิธีการตลอด และมีการเติมเต็มอยู่ตลอดเวลา”

พระมหาสมปองกล่าวถึงเคล็ดลับของความสำเร็จว่า ต้องสังเกตคนฟัง สนุกคือหัวเราะ สาระคือพยักหน้า ซาบซึ้งคือ ร้องไห้ หลายที่หลายแห่งบอกว่า ธรรมะเดลิเวอรี่ครบทุกรสทุกอารมณ์ ที่สำคัญต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา

“พอตกเย็นมาครบทุกรูปก็นั่งสนทนากัน ตั้งแต่ 5 โมง เสร็จทีก็ 3-4 ทุ่ม แยกกันตอบกระทู้ในเว็บไซต์ www.dhammadelivery.com สรงน้ำอ่านหนังสือแล้วกว่าจะจำวัดก็ประมาณเที่ยงคืน วันหยุดหรือช่วงเวลาว่างก็อ่านหนังสือเตรียมข้อมูล บางครั้งก็รู้สึกว่ายังไม่พอ หลายครั้งก็ยังซ้ำ ๆ อยากจะเพิ่มอยากจะพัฒนา”

และสูตรสำเร็จที่สำคัญที่สุดคือพระวิทยากรต้องตอบโจทย์ของห้างร้าน บริษัท หรือสถาบันการศึกษา ต่าง ๆ บางบริษัทให้พระกำหนดหัวข้อ ความสุขในการทำงาน ความรักในองค์กร ความกตัญญูกตเวทีต่อองค์กร คือ ธรรมะเดลิเวอรี่ สามารถตอบโจทย์ และหลักการประเมินอย่างง่ายคือ คนจัดอยากจัด คนฟังอยากฟัง ครั้งต่อไปอยากฟังอีก

ประวัติ
พระมหาสมปอง ฉายา ตาลปุตฺโต
วันเกิด : 3 พฤศจิกายน 2521
การศึกษา:บวชเรียนเป็นสามเณรตั้งแต่จบ ป.6
เรียนทางธรรมจนกระทั่งได้ เปรียญธรรม 7 ประโยค
ปริญญาตรี พุทธศาสตรบัณฑิต (พธ.บ.) เอกปรัชญา (เกียรตินิยมอันดับ 1)
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.)
ปริญญาโท สังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต (สส.ม.) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รางวัล : “คนดีศรีแผ่นดิน” ประจำปี 2550
ล่าสุด รางวัลเสาเสมาธรรมจักรทองคำ (สาขาเผยแผ่พระพุทธศาสนา) ประจำปี 2551

ทีมงานพระวิทยากร ธรรมะเดลิเวอรี่


กำลังโหลดความคิดเห็น