‘ เจตน์ เชี่ยวสกุล’ เขาเป็นหนุ่มไฮโซ ทายาทแห่งซอยราชครู มีคุณตาชื่อ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ มีคุณพ่อชื่อ เฉลิมชัย เชี่ยวสกุล เจ้าของสนามมวยราชดำเนิน แต่เส้นทางชีวิตของเขากลับแตกต่างจากทายาทราชครูคนอื่นๆอย่างสิ้นเชิง ไม่ชอบการเมือง ไม่ชอบออกงานสังคม และไม่ชอบสนามมวย แต่เขากลับหลงใหลในเสน่ห์อาหาร และเลือกเส้นทางอาชีพ ‘เชฟ’ หรือ พ่อครัว
หนุ่มคนนี้ อาจเป็นตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ในการแสวงหาหนทางที่ตัวเองชอบและมุ่งทำอย่างมีความสุข โดยเฉพาะอาชีพเชฟ ที่หลายๆคนกำลังสนและใฝ่ฝัน จะค้นพบว่าเขามีแรงบันดาลใจในกลิ่นอายของอาหารที่ชวนหลงใหลและตกลุ่มรักในอาชีพนี้
ในยุคที่คุณตาชาติ (พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ) ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น “เจตน์ เชี่ยวสกุล”ผู้เป็นหลานชายคุ้นชินกับภาพของบรรดานักการเมืองทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นเล็ก ที่เดินเข้านอกออกในบ้านราชครูมาตั้งแต่เล็ก
แต่เมื่อยามโตขึ้นแทนที่เขาจะเลือกเดินบนถนนทางการเมืองเฉกเช่นทายาทคนอื่นๆ เขากลับทำตัวเป็น “ลูกไม้หล่นไกลบ้าน” เพราะเขาหลงใหลในกลิ่นอายของอาหารจึงทำให้เขาเลือกเส้นทางการเป็น “เชฟ”
เจตน์ เป็นลูกชายคนที่ 2 ในจำนวน 3 คนของเฉลิมชัย เชี่ยวสกุล เจ้าของสนามมวยราชดำเนิน ซึ่งมีคุณแม่คืออัจฉรา ที่สืบเชื้อสายมาจากบ้านราชครู
“ตอนเป็นเด็กรู้สึกว่าการเป็นนายกรัฐมนตรีมันดูเท่ห์ดี ขณะเดียวกันคุณตาก็มักจะเล่าให้ฟังอยู่เสมอว่า คนเรายิ่งอยู่บนที่สูงยิ่งหนาว เหมือนกับเราต้องอยู่ตัวคนเดียว ผมจึงไม่คิดอยากจะเข้าสนามการเมือง ประกอบกับเป็นคนสนใจงานทางด้านศิลปะ และอาหารมากกว่า เพราะชอบเข้าไปเป็นลูกมือคุณแม่เวลาที่ท่านทำอาหารให้เราทานกัน จนเกิดมีความฝันกับคุณแม่ว่าวันหนึ่งเราจะเปิดร้านอาหารด้วยกัน” เจตน์หนุ่มอารมณ์ดีวัย 29 ปีเริ่มย้อนถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาอยากหันมายึดอาชีพการเป็นพ่อครัวมากกว่าเส้นทางในสภาหินอ่อน
ด้วยความที่ครอบครัวของคุณพ่อเป็นนักธุรกิจและนายแบงก์ เส้นทางการเรียนเบื้องต้นของหนุ่มเจตน์จึงมุ่งไปด้านธุรกิจ โดยไปเรียนต่อปริญญาตรีด้าน Business Administration ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกา
ทว่าเมื่อเขาร่ำเรียนจนจบตามความประสงค์ของครอบครัวแล้วแทนที่ชายหนุ่มจะบินกลับมายังเมืองไทย แต่ด้วยความสนใจทางด้านการทำอาหารมาตั้งแต่วัยเยาว์ และความฝันที่อยากจะเป็นเชฟปรุงอาหารให้ทุกคนที่ได้รับประทานมีความสุขและรอยยิ้มกับรสชาติอาหารที่เขาทำ ชายหนุ่มจึงขออนุญาตทางบ้านเข้าเรียนหลักสูตรการทำอาหารที่ เลอ กอร์ดอง เบลอ สถาบันชื่อดังที่สร้างเชฟมือหนึ่งให้กับวงการอาหารและบรรดาคนรุ่นใหม่คลั่งไคล้ที่จะเข้าเรียนในสถาบันแห่งนี้ แม้ว่าค่าเล่าเรียนจะแสนแพง
“ตอนแรกที่ขอทางบ้านเรียนวิชาการทำอาหารต่อที่ เลอ กอร์ดอง เบลอ คนแรกที่เห็นด้วยกับความคิดนี้คือ คุณแม่เพราะที่บ้านเปิดร้านอาหารจึงอยากให้เรานำความรู้ที่ได้รับมาคิดค้นสูตรอาหารให้กับร้าน แต่คุณพ่อเห็นว่าจากบ้านไปเรียนต่างประเทศหลายปีก็อยากจะให้กลับมาที่บ้านก่อน”
แต่ด้วยความฝันและความตั้งใจอันแน่วแน่ที่อยากจะเป็นเชฟมืออาชีพ และอยากจะเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่นำความรู้เรื่องการประกอบอาหารมาพัฒนาวงการเชฟในเมืองไทยให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้นในสังคม เจตน์จึงตัดสินใจลงเรียนครอสการทำอาหารต่อที่ เลอ กอร์ดอง เบลอ ที่ซานฟรานซิสโก ในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 1 ปีเต็ม
หลายคนมีความฝันว่าอยากจะเป็นเชฟแต่ ความจริงแล้วอาชีพนี้ไม่ได้เป็นกันง่ายๆ เพราะไม่ใช่เพียงแค่ปรุงอาหารจานสวยออกมาเท่านั้น สำหรับที่ เลอ กอร์ดอง เบลอ สอนการเป็นเชฟที่สมบูรณ์แบบจะต้องเรียนรู้งานครัวทั้งหมด ดังนั้นเมื่อคุณหนูแห่งบ้านราชครูที่เกิดมาไม่ต้องล้างจานหรือกวาดบ้านเลยอย่างเจตน์เข้าเรียนวันแรก็ได้เจอกับบทเรียนอันแสนสาหัสทีเดียว
“ตอนแรกเข้าไปเรียนคิดว่าไปเรียนเฉยๆ เพราะก่อนหน้านี้มีรุ่นพี่คนหนึ่งที่เรียนจบไปแล้วบอกว่าไม่ต้องมาล้างจาน แต่พอผมไปเรียนจริง ๆ ปีนั้นเป็นปีแรกที่ให้นักเรียนต้องทำความสะอาดเครื่องครัวเอง เพราะฉะนั้นคลาสแรกที่ผมและนักเรียนทุกคนที่จะต้องเจอคือฝึกการถูพื้น ต่อด้วยการล้างจาน ทุกคนในชั้นเรียนจะต้องมีเวรล้างจานและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนหลังการเรียนเสร็จในแต่ละวัน จำได้ว่าตอนนั้นผมล้างจนมือลอกไปหมด”
ในครั้งนั้นเองหนุ่มเจตน์บอกว่าเขาก็ได้ประสบการณ์ไม่น้อยเกี่ยวกับงานครัว ครูผู้สอนจะบอกทุกครั้งว่า คนที่คิดจะทำอาชีพนี้ต้องมีใจรัก เพราะความสุขของเชฟทุกคนอยู่ที่รอยยิ้มของลูกค้าทุกคน
“ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่ไปเรียนที่นั้น เพราะหน้าที่ของเชฟทุกคนก็เหมือนกับการสร้างความประทับใจให้กับคนอื่น ถ้าวันหนึ่งเราเปิดร้านขายอาหารและลูกค้าเข้ามาเลี้ยงวันเกิดที่ร้านของเรา และเขาก็รู้สึกมีความสุขกับอาหารที่เราทำให้เขารับประทาน เขาก็จะจดจำว่าเชฟคนนี้ไปตลอด”
เมื่อเรียนครบหลักสูตรการทำอาหารที่สถาบันครบ 9 เดือนแล้ว จากนั้นจะต้องไปฝึกงานหาประสบการณ์ตามร้านอาหารอีก 3 เดือน
เจตน์โชคดีที่วันหนึ่งเขาไปพบกับThomas Keller สุดยอดเชฟของโลกได้รับคำแนะนำให้เขาไปฝึกเรียนทำอาหารหลาย ๆ แห่งเพื่อหาประสบการณ์ ดังนั้นเจตน์จึงเริ่มต้นชีวิตพ่อครัวฝึกหัดครั้งแรกที่ร้าน Aqua Restaurant ซึ่งเป็นภัตตาคารที่เปิดขายอาหารอิตาเลียนระดับ top ten ของซานฟานซิสโก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ว่าชีวิตการเรียนในเลอ กอร์ดอง เบลอว่าโหดแล้ว ชีวิตการทำงานจริงๆกลับโหดสุด ๆ !!!
เพราะเขาต้องเข้างานตั้งแต่ 7 โมงเช้าเพื่อเขาไปจัดเตรียมอาหารและวัตถุดิบที่จะใช้ในการประกอบอาหาร ก่อนที่ร้านจะเปิดในเวลา 11 โมง และงานครัวแต่ละอย่างที่ทำนั้นส่วนใหญ่จะเป็นงานที่จะต้องใช้ความละเอียดและความประณีต ตลอดจนความอดทนในการทำงานเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการล้างผักหั่นผักต้องเป็นระเบียบสวยงาม และที่ถือว่าหินที่สุดสำหรับเขาในขณะนั้นก็คือการปอกไข่นกกระทา
“ ทุกวันนอกจากการล้างผักและหั่นผักแล้ว ในแต่ละวันผมต้องปลอกไข่นกกระทาโดยแยกไข่แดงออกมาจากไข่ขาว ทำวันละ 10 กิโล โดยที่ไม่ให้ไข่แดงแตก ที่สำคัญเมื่อแยกไข่แดงออกมาแล้ว ยังต้องเอากลับเข้าไปใส่ไว้ที่เดิมเพื่อไม่ให้ไข่แดงแห้งพอเราเข้าไปอยู่ในครัวเขาก็จะสอนเราว่าอาหารที่จะขายแพงได้ ทุกอย่างมันต้องดูประณีต คนเราก่อนที่กินอาหารเขาจะกินด้วยสายตาก่อนทุกครั้ง ส่วนกลิ่น และรสชาติจะตามมาทีหลัง เพราะฉะนั้นหน้าตาของอาหารจะต้องมีสีสันสวยงามน่ารับประทานทุกครั้ง”
อีกสิ่งหนึ่งที่เจตน์ได้จากที่ร้านนี้คือการทำสลัดที่เขาได้รับมอบหมายให้ดูแลตั้งแต่วันแรกจนทำได้คล่องแคล่ว กับเมนู Tuna Tar Tar ที่เขาต้องทำวันหลายหลายสิบจานจนแอบบ่นเล็ก ๆ ว่าทำไมคนที่นี่ถึงชอบกินเมนูนี้นักหนา
จากนั้นเจตน์ก็ย้ายไปฝึกที่The 5 Floor ในซานฟรานซิสโกเป็นเวลาอีก 1 เดือนเต็ม ก่อนที่จะย้ายไปฝึกงานต่อที่ Ristorant LuLu ซึ่งเป็นร้านสุดท้ายของการฝึกงาน และร้านนี้เองที่ชายหนุ่มบอกว่าเขารู้สึกประทับใจเป็นพิเศษเพราะไม่เพียงแต่จะเข้าครัวทำอาหารอย่างเดียวเท่านั้นแต่เขายังมีโอกาสได้เรียนรู้งานทุกอย่างในร้าน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ชายหนุ่มจดจำอย่างไม่รู้ลืมเลยก็คือ การยืนอยู่หน้าเตาไฟอันร้อนระอุวันละ 8 ชั่วโมงเพื่อคอยปิ้งย่าง เนื้อสัตว์ต่างๆ
“ตอนนั้นผมต้องคอยไปยื่นเฝ้าคอยเติมถ่านเขี่ยถ่าน อยู่หน้าเตาไฟที่ร้อนมาก ผมต้องดื่มน้ำวันละ1 แกลอน เพราะอากาศหน้าเตาไฟมันร้อนมากๆ ”
แต่การที่ทำงานที่แสนร้อนนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี ในที่สุดเมื่อชายหนุ่มเรียนจนจบหลักสูตรแล้วก็หอบนำความรู้และประสบการณ์ทั้งหมดกับมาที่เมืองไทย เพื่อมาช่วยคุณแม่ดูแลร้านอาหาร “บ้านแม่ยุ้ย” ที่อยู่ภายในรั้วบ้านของเขาเอง ทว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้หยุดที่จะเรียนรู้หาความรู้มาเพิ่มเติมให้กับตัวเองอยู่เสมอ ขณะนี้เขากำลังช่วยคุณแม่คิดค้นสูตรอาหารใหม่ๆสไตล์อิตาเลี่ยนที่ตัวเองร่ำเรียนมาแต่รสชาติอร่อยถูกปากคนไทยมาให้บริการลูกค้าอยู่เสมอ
และอาหารจานเด็ดที่ถือเป็นพระเอกของร้านที่หนุ่มเจตน์ลงมือทำเองผ่านการลองผิดลองถูกมาหลายครั้งคือ “กระดูกหมูอบไวน์แดง” ในแต่ละวันจะมีลูกค้าติดใจเรียกหากันมาก ขายในสนนราคา 240 บาท แต่เจตน์บอกว่ากว่าจะมาเป็นเมนูนี้ได้เขาต้องใช้เวลาทำถึง 8 ชั่วโมงทีเดียว
“ผมคิดว่าชีวิตคือการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เพราะทุกอย่างมันต้องอาศัยการเรียนรู้จากสิ่งรอบข้าง ถึงแม้ว่าเราจะเรียนจบทางด้านการประกอบอาหารจากสถาบันชื่อดัง ขณะเดียวกันเราก็ต้องขวนขวายหาความรู้ที่อยู่นอกตำราด้วย เพื่อที่จะได้มาพัฒนาฝีมือของเราเอง ”
เพราะความที่เป็นคนไม่ชอบหยุดนิ่ง ในอนาคตอันใกล้นี้หนุ่มเจตน์บอกว่า เขาเองกำลังวางแผนที่จะเปิดร้านอาหารสไตล์เมดิเตอเรเนียนกับเพื่อนที่หัวหินอีกด้วย โดยเขาให้เหตุผลว่า แม้ว่าเขาจะมีโอกาสฝึกงานด้านนี้เพียงครั้งเดียว แต่ถ้ามาเปิดร้านอาหารประเภทนี้ก็เท่ากับว่าเขาจะได้เรียนรู้และทำความรู้จักกับอาหารประเภทนี้มากขึ้นกว่าเดิม
นอกจากนั้นเขายังได้แนะนำสำหรับผู้ที่คิดอยากจะก้าวเข้ามาเป็นเชฟด้วยว่า อย่าหยุดหาความรู้ใส่ตัวเอง ทุกอย่างมันต้องอาศัยการเรียนรู้ซึ่งกันและกันงานดีๆ ถึงจะเกิดขึ้นมาได้ เพราะหัวใจสำคัญของเชฟทุกคนคือ ลูกค้าต้องมีความสุขกับอาหารของเรามากที่สุด...