xs
xsm
sm
md
lg

ชีวิตที่หักเห..พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ... วงเวียนธุรกิจที่หนีไม่พ้นจากพ่อสู่ลูก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


การเวียนว่าย ตาย เกิด ไม่ใช้มีเฉพาะสิ่งมีชีวิตเทานั้น แต่เกิดขึ้นในทุกสรรพสิ่ง ไม้เว้นแม้แต่ในโลกของธุรกิจ มีเกิดใหม่ สืบทอดไปยังรุ่นสู่รุ่น หรือแม้แต่ล้มหายตายจาก

"รังสรรค์ ต่อสุวรรณ" ก็เช่นเดียว จากสถาปนิกมือหนึ่งของเมืองไทย และนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของไทย หลังจากที่เงียบหายไปจากวงการอสังหาริมทรัพย์มากว่า 15 ปี

นับจากปี 2536 ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับการจ้างวานฆ่า “นายประมาณ ชันซื่อ” ประธานศาลฎีกาในขณะนั้น ข้อหาดังกล่าว ส่งผลให้โครงการส่วนใหญ่ถูกระงับการให้กู้จากสถาบันการเงิน และถูกยึดในที่สุด หลายโครงการอยู่ในขบวนการปรับโครงสร้างหนี้

ปัจจุบันการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะตึกสูง ไม่ว่าจะพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัย หรือโรงแรมระดับ 5 ดาว สิ่งสำคัญประการแรกคือทำเลที่ตั้ง แต่ปัจจุบันการหาซื้อที่ดินผืนงามนั้นแสนยาก หรือถ้ามีสนนราคาไม่ถูกแน่นอน

ดังนั้น อาคารสร้างค้างอย่าง สาทร ยูนิค ทาวน์เวอร์ ของ รังสรรค์ จึงเป็นเหมือนไขแดงที่นักลงทุนทั้งไทยและเทศรุมจีบ หากแต่ว่าด้วยจริยธรรมแล้ว รังสรรค์ ไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับโครงการนี้อีก

ดังนั้นภาระหนักจึงตกมาอยู่ที่ พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ในวัย 36 ปี เขามีความมุ่งมั่นที่จะสะสางปัญหาของสาทร ยูนิค แล้วคืนเงินให้แก่ลูกค้าหลายร้อยรายที่จองซื้อในช่วงก่อนวิกฤติ ซึ่งตอนนั้นสนนราคาแค่ 20,000 บาท/ตร.ม. ถ้าให้เทียบกับตอนนี้ราคาขายจะต้องไม่น้อยกว่า 80,000 บาท/ตร.ม.อย่างแน่นอน

พรรษิษฐ์ เล่าว่าในช่วงแรกเขามาอยากยุ่งเกี่ยวกับปัญหาของครอบครัว เพราะมีทั้งปัญหาจากเจ้าหนี้สถาบันการเงิน ลูกค้า ฟ้องร้องอีรุงตุงนังไปหมด นับจากเรียนจบ ปริญญาโทสถาปัตยกรรมศาสตร์ University of Michigan สหรัฐอเมริกา

ในช่วงปี 2541 เขากลับมาเมืองไทย แต่พยายามหนีปัญหาที่หนักอึ้งนี้มาตลอด โดยไปเป็นอาจารย์ประจำ คณะสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หรือเอแบค และอาจารย์พิเศษ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ถึงปี 2546

แต่ในที่สุดเขาก็หนีปัญหาไม่พ้น พรรษิษฐ เล่าว่า วันหนึ่งได้มีโอกาสไปกับพ่อ เพื่อเจรจากับเจ้าหนี้ และได้พบกับลุงแก่ ๆ คนหนึ่ง อายุประมาณ 80 เข้ามาขอร้องให้เราคืนเงินประมาณ 8 แสนบาท เพื่อจะได้เอาเงินไปให้ลูก แต่ตอนนั้นคุณพ่อบอกว่าให้ไม่ได้ ลุงคนนั้นแทบจะลงไปกราบเพื่อให้เราคืนเงิน

ตอนนั้นผมถึงกับอึ้งแทบจะเอาเงินส่วนตัวคืนลงคนนั้นให้ได้ แต่คุณพ่อบอกว่าไม่ได้ เพราะถ้าเราให้เงินลุงไปนั้นหมายความว่าเราต้องให้เงินกับลูกค้าทุกคน ซึ่งเราไม่มีเงินมากขนาดนั้น ผมจึงเข้าใจความหมายของคุณพ่อ และตั้งใจว่าจะเจรจาเคลียร์หนี้ให้เสร็จและคืนเงินให้กับลูกค้าให้ได้อาจจะไม่ได้ทุกบาททุกสตางค์ แต่เขาจะพยายามคืนให้ได้มากที่สุด

นับจากวันนั้นเป็นเวลา 4 ปี พรรษิษฐ์ เดินเข้าออกธนาคารเป็นว่าเล่น เพื่อเจรจาหนี้ บางครั้งต้องนั่งรอนานหลายชั่วโมงกว่าจะได้พบผู้บริหาร ถูกตั้งคำถาม ถูกซักละเอียดยิบ เป็นอยู่เช่นนี้มาตลอด 4 ปี

ทุกวันนี้ พรรษิษฐ์ บอกว่า เขามีความรู้ด้านการเงินมากกว่า สถาปัตย์ฯ ซะอีก ได้เรียนรู้เล่ห์กลการเงิน ใจคน และอะไรอีกหลายอย่าง ซึ่งมันทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น

4 ปีที่ผ่านมา ปัญหาทุกอย่างได้ถูกแก้ไปทีละจุด แก้ปมที่ละขดจน ภาระสำคัญที่เขาต้องรับมาจากพ่อบัดนี้ใกล้บรรลุเป้าหมายเต็มที ทุกอย่างลงตัวเกือบหมดแล้ว เพียงต่อรอเวลาและจิกซอตัวสำคัญที่มาทำให้ทุกอย่างจบลง

ตลอดเวลาที่เข้ามารับภาระเคียร์หนี้ทำให้เขาไม่มีเวลาและมันสมองจะไปคิดสร้างสรรค์ผลงานที่ ในหน้าที่สถาปนิก ตามที่ได้ร่ำเรียนมา แต่ก็รับงานออกแบบเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใหญ่มาก อย่าง ออกแบบอพาร์ตเมนท์ให้กับเพื่อน บ้านของคุณลุงที่สนามกอล์ฟปัญญา

พรรษิษฐ์ บอกว่าหากเขาสะสางสาทร ยูนิค เสร็จเรียบร้อย เขาจะเริ่มเดินเส้นทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้เป็นพ่อได้สร้างไว้ในช่วงก่อนหน้านี้ โดยจะเริ่มจากการเข้าซื้อโครงการเก่าของพ่อตามสถาบันการเงินกลับมาทำให้

“สาทร ยูนิค ต้องเสร็จก่อน ผมถึงจะเริ่มนำโครงการอื่นๆ ของคุณพ่อมาทำ อาจต้องตัดที่ดินขายบางส่วนเพื่อเอาเงินมาทำ คงไม่ไปซื้อโครงการใหญ่ๆ มาทำ เพราะไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น แต่จะเริ่มจากโครงการเล็กก่อน แล้วค่อยก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว แม้จะไม่เทียบขั้นผู้เป็นพ่อแต่เขาจะทำมันให้ดีที่สุด”

และช่วงปลายปีที่ผ่านมา พรรษิษฐ์ ได้เริ่มเข้ามาเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เต็มตัว ด้วยการซื้อหนี้เอ็นพีเอจากแบงก์ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในโครงการของผู้เป็นพ่อ โดยการซื้ออาคาร 2 ชั้น ด้านข้างของโครงการ สกายบีช คอนโดมิเนียม เดิมทำเป็นร้านค้า แต่เขาได้นำมาดัดแปลงเป็นคอนโดฯ 28 ห้อง และร้านค้าอีก 4 ห้อง ปัจจุบันขายไปได้แล้ว 4 ห้อง

พรรษิษฐ์ กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ว่า ตอนขายห้องชุดได้ดีใจมาก มันเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง และเป็นเรื่องบังเอิญและโชคดีมาก เพราะไม่เคยขายห้องชุดมาก่อนเลย แต่เรามีนายหน้าต่างชาติหาลูกค้าให้ ผมจะทำหน้าที่เจรจากับลูกค้าและรับโอนห้อง ตอนนั้นลูกค้าต่างชาติมาซื้อ เขาพูดภาษาอังกฤษไม่เป็นเลย เวลาเจรจาต้องใช้ภาษามือและเขียนเอา ตอนเขาจ่ายเงินผมก็บอกไปว่าเท่าไหร่ทั้งค่าโอนค่าห้อง พอรับเงินมาพนักงานของผมบอกว่า ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะเราต้องเป็นคนจ่ายไม่ใช้ลูกค้า ผมตกใจมาก ลูกค้ากลับไปประเทศเขาแล้ว ผมจึงอีเมลล์ไปบอกเขาว่าเราคิดเงินเขาผิดและจะคืนให้จำนวน 30,000 บาท

และวันนั้นเหมือนเป็นโชคของเขา เพราะลูกค้ารายนั้นรู้สึกประทับใจมาก เลยกลับมาซื้อห้องเพิ่มอีก 3 ห้อง และนั้นเป็นเพียงก้าวแรกของเขา ในวงการอสังหาริมทรัพย์มีอะไรที่เขาต้องเรียนรู้อีกมากมายในวงการนี้ ก็หวังแต่ว่าเขาจะใช้บทเรียนในอดีตของผู้เป็นพ่อ และประสบการณ์ของตัวเองมาใช้ให้เป็นประโยชน์


กำลังโหลดความคิดเห็น