ตำรวจจับกุมหนุ่มจัดหาอุปกรณ์ประกอบฉาก โทรศัพท์ไปขู่กรรโชก “เปรม-ทาทา” เรียกเงิน 5 ล้าน อ้างมีคนจ้างวานมาลอบสังหาร แต่สุดท้ายตำรวจวางแผนตะครุบตัวได้
วันนี้ (19 ก.พ.) เมื่อเวลา 15.30 น.ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น.พ.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบก.จร.ช่วยราชการ บช.น.และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน กก.สส.บก.น.2 ร่วมกันแถลงการจับกุม นายพรเทพ พูลผล อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 36/3 ถนนกำแพงเพชร 2 แขวงและเขตจตุจักร อาชีพจัดหาอุปกรณ์ประกอบฉาก พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือ หมายเลข 087-698-7107 จำนวน 1 เครื่อง รถ จยย.ยี่ห้อฮอนด้า ไนซ์ สีเหลืองดำ หมายเลขทะเบียน นบก-326 กทม.และแผ่นป้านทะเบียนปลอม กลน-182 กทม.
พล.ต.ท.อัศวิน เปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องเมื่อเวลา 11.00 น.ของวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา ผู้ต้องหาได้โทรศัพท์เข้าไปที่สำนักงานของ น.ส.อมิตา ยัง หรือ “ทาทา ยัง” นักร้องชื่อดัง โดยมี น.ส.ลาวัลย์ สุขเอื้อ ผู้จัดการของสำนักงานเป็นคนรับโทรศัพท์ โดยผู้ต้องหาได้อ้างว่า รับงานจากผู้ว่าจ้างให้มาลอบสังหาร น.ส.อมิตา และ นายเปรม บุษราคัมวงศ์ คู่หมั้น แต่เจ้าตัวไม่อยากรับงานนี้ อีกทั้งยังขู่ให้ทั้งสองคนระวังตัว เนื่องจากคนจ้างวานได้โทรศัพท์มาหาผู้ต้องหาบ่อยครั้ง เพื่อเร่งให้ลงมือ จากนั้นผู้ต้องหาได้ต่อรองขอเงินจำนวน 5 ล้านบาท จาก นายเปรม น.ส.อมิตา เพื่อแลกกับการไม่ลงมือฆ่า โดยจะมอบหลักฐานเป็นชื่อ-นามสกุล และภาพถ่ายของผู้จ้างวาน พร้อมทีมสังหารให้กับทั้งสองคน เพื่อนำไปดำเนินการจับกุมคนร้ายต่อไป
ผู้ต้องหายังบอกอีกว่า หากไม่ติดต่อมาภายใน 3 วัน แสดงว่า ตัวผู้ต้องหาเองถูกผู้จ้างวานฆ่าทิ้งไปแล้ว ให้นายเปรม และ น.ส.อมิตา แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่ากำลังถูกปองร้าย เพื่อทำให้ผู้จางวานไม่กล้าที่จะลงมือลอบสังหารทั้งสองคนแต่อย่างใด ซึ่งภายหลังมีการต่อรองจำนวนเงินกันอยู่หลายครั้ง จนผู้ต้องหาลดมาให้ 6 แสนบาท เหลือ 4.4 ล้านบาท และนัดส่งมอบเงินกันในวันนี้ (19 ก.พ.) ที่ห้างเมเจอร์รัชโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร
พล.ต.ท.อัศวิน กล่าวต่อว่า ต่อมา นายเปรม และ น.ส.อมิตา ได้เข้ามาพบตนเมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา เพื่อแจ้งเรืองให้ทราบ พร้อมทั้งบอกว่าจะจ่ายเงินให้ผู้ต้องหา เพราะรู้สึกหวาดกลัวมาก อยากให้เรื่องมันจบ แต่ตนได้แนะนำว่า ไม่ต้องกลัว และไม่ต้องจ่ายเงินเลยสักบาท ก่อนจะดำเนินการวางแผนจับกุม โดยสั่งการให้ พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร ผบก.น.2 พ.ต.อ.สรรค์กิจ บำรุงสุขสวัสดิ์ ผกก.สส.บก.น.2 พ.ต.ท.สมศักดิ์ นิเต็ม สว.กก.สส.บก.น.2 นำกำลังวางแผนจับกุมจนกระทั่งเวลาประมาณ 12.30 น.ผู้ต้องหาได้ขับรถ จยย.คันดังกล่าวและติดป้ายทะเบียนปลอมมาที่ห้างดังกล่าวตามที่นัดหมาย เจ้าหน้าที่จึงเข้าจับกุม ก่อนควบคุมตัวมาสอบปากคำ
จากการสอบสวน นายพรเทพ ให้การรับสารภาพว่า ได้สร้างเรื่องขึ้นมาโดยไม่ได้มีการขู่ฆ่าทั้งสองคนแต่อย่างใด โดยที่ทำลงไปเพราะตกงาน และต้องการใช้เงิน โดยตนเคยทำงานเกี่ยวกับวงการบันเทิง จึงมีความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับตัว ทาทา ยัง และ คู่หมั้น ซึ่งถือว่าเป็นคนมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง จึงโทรศัพท์ไปขู่เรียกเงิน เพราะเห็นว่าทั้งสองคนมีเงินจำนวนมาก น่าจะยอมให้เงินตนเองมา
“ผมทำไปเพราะต้องการใช้เงินเลี้ยงลูก แม่ของผมก็ป่วย ผมอยากเอาเงินไปทำธุรกิจเปิดร้านคาราโอเกะ ผมไม่ได้คิดจะฆ่าเขาจริงๆ และไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตแบบนี้ ถ้าเจอเขาอีกก็จะอยากจะขอโทษ ไม่อยากให้เขาเอาเรื่อง” นายพรเทพ กล่าว
พล.ต.ท.อัศวิน กล่าวเพิ่มเติมว่า เบื้องต้นได้แจ้งข้อหาพยายามกรรโชกทรัพย์, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด และปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ซึ่งคดีนี้ไม่สามารถยอมความได้ เนื่องจากเป็นคดีอาญา ส่วนเรื่องที่ว่าจะมีผู้ร่วมขบวนการหรือไม่นั้น ต้องสอบปากคำขยายผลต่อไป เนื่องจากขณะเข้าจับกุมนั้น มีกลุ่มของผู้ต้องหาอีก 2 คน นั่งอยู่ในรถกระบะอีซูซุ สีบรอนซ์ แบบ 4 ประตู ก่อนจะหลบหนีไป
วันนี้ (19 ก.พ.) เมื่อเวลา 15.30 น.ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น.พ.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบก.จร.ช่วยราชการ บช.น.และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน กก.สส.บก.น.2 ร่วมกันแถลงการจับกุม นายพรเทพ พูลผล อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 36/3 ถนนกำแพงเพชร 2 แขวงและเขตจตุจักร อาชีพจัดหาอุปกรณ์ประกอบฉาก พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือ หมายเลข 087-698-7107 จำนวน 1 เครื่อง รถ จยย.ยี่ห้อฮอนด้า ไนซ์ สีเหลืองดำ หมายเลขทะเบียน นบก-326 กทม.และแผ่นป้านทะเบียนปลอม กลน-182 กทม.
พล.ต.ท.อัศวิน เปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องเมื่อเวลา 11.00 น.ของวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา ผู้ต้องหาได้โทรศัพท์เข้าไปที่สำนักงานของ น.ส.อมิตา ยัง หรือ “ทาทา ยัง” นักร้องชื่อดัง โดยมี น.ส.ลาวัลย์ สุขเอื้อ ผู้จัดการของสำนักงานเป็นคนรับโทรศัพท์ โดยผู้ต้องหาได้อ้างว่า รับงานจากผู้ว่าจ้างให้มาลอบสังหาร น.ส.อมิตา และ นายเปรม บุษราคัมวงศ์ คู่หมั้น แต่เจ้าตัวไม่อยากรับงานนี้ อีกทั้งยังขู่ให้ทั้งสองคนระวังตัว เนื่องจากคนจ้างวานได้โทรศัพท์มาหาผู้ต้องหาบ่อยครั้ง เพื่อเร่งให้ลงมือ จากนั้นผู้ต้องหาได้ต่อรองขอเงินจำนวน 5 ล้านบาท จาก นายเปรม น.ส.อมิตา เพื่อแลกกับการไม่ลงมือฆ่า โดยจะมอบหลักฐานเป็นชื่อ-นามสกุล และภาพถ่ายของผู้จ้างวาน พร้อมทีมสังหารให้กับทั้งสองคน เพื่อนำไปดำเนินการจับกุมคนร้ายต่อไป
ผู้ต้องหายังบอกอีกว่า หากไม่ติดต่อมาภายใน 3 วัน แสดงว่า ตัวผู้ต้องหาเองถูกผู้จ้างวานฆ่าทิ้งไปแล้ว ให้นายเปรม และ น.ส.อมิตา แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่ากำลังถูกปองร้าย เพื่อทำให้ผู้จางวานไม่กล้าที่จะลงมือลอบสังหารทั้งสองคนแต่อย่างใด ซึ่งภายหลังมีการต่อรองจำนวนเงินกันอยู่หลายครั้ง จนผู้ต้องหาลดมาให้ 6 แสนบาท เหลือ 4.4 ล้านบาท และนัดส่งมอบเงินกันในวันนี้ (19 ก.พ.) ที่ห้างเมเจอร์รัชโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร
พล.ต.ท.อัศวิน กล่าวต่อว่า ต่อมา นายเปรม และ น.ส.อมิตา ได้เข้ามาพบตนเมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา เพื่อแจ้งเรืองให้ทราบ พร้อมทั้งบอกว่าจะจ่ายเงินให้ผู้ต้องหา เพราะรู้สึกหวาดกลัวมาก อยากให้เรื่องมันจบ แต่ตนได้แนะนำว่า ไม่ต้องกลัว และไม่ต้องจ่ายเงินเลยสักบาท ก่อนจะดำเนินการวางแผนจับกุม โดยสั่งการให้ พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร ผบก.น.2 พ.ต.อ.สรรค์กิจ บำรุงสุขสวัสดิ์ ผกก.สส.บก.น.2 พ.ต.ท.สมศักดิ์ นิเต็ม สว.กก.สส.บก.น.2 นำกำลังวางแผนจับกุมจนกระทั่งเวลาประมาณ 12.30 น.ผู้ต้องหาได้ขับรถ จยย.คันดังกล่าวและติดป้ายทะเบียนปลอมมาที่ห้างดังกล่าวตามที่นัดหมาย เจ้าหน้าที่จึงเข้าจับกุม ก่อนควบคุมตัวมาสอบปากคำ
จากการสอบสวน นายพรเทพ ให้การรับสารภาพว่า ได้สร้างเรื่องขึ้นมาโดยไม่ได้มีการขู่ฆ่าทั้งสองคนแต่อย่างใด โดยที่ทำลงไปเพราะตกงาน และต้องการใช้เงิน โดยตนเคยทำงานเกี่ยวกับวงการบันเทิง จึงมีความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับตัว ทาทา ยัง และ คู่หมั้น ซึ่งถือว่าเป็นคนมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง จึงโทรศัพท์ไปขู่เรียกเงิน เพราะเห็นว่าทั้งสองคนมีเงินจำนวนมาก น่าจะยอมให้เงินตนเองมา
“ผมทำไปเพราะต้องการใช้เงินเลี้ยงลูก แม่ของผมก็ป่วย ผมอยากเอาเงินไปทำธุรกิจเปิดร้านคาราโอเกะ ผมไม่ได้คิดจะฆ่าเขาจริงๆ และไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตแบบนี้ ถ้าเจอเขาอีกก็จะอยากจะขอโทษ ไม่อยากให้เขาเอาเรื่อง” นายพรเทพ กล่าว
พล.ต.ท.อัศวิน กล่าวเพิ่มเติมว่า เบื้องต้นได้แจ้งข้อหาพยายามกรรโชกทรัพย์, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด และปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ซึ่งคดีนี้ไม่สามารถยอมความได้ เนื่องจากเป็นคดีอาญา ส่วนเรื่องที่ว่าจะมีผู้ร่วมขบวนการหรือไม่นั้น ต้องสอบปากคำขยายผลต่อไป เนื่องจากขณะเข้าจับกุมนั้น มีกลุ่มของผู้ต้องหาอีก 2 คน นั่งอยู่ในรถกระบะอีซูซุ สีบรอนซ์ แบบ 4 ประตู ก่อนจะหลบหนีไป
