หลังเพิงสังกะสีเก่าๆ ริมถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แว่บแรกหลังเลี้ยวรถเข้าไปถึงกับตกตะลึง เมื่อเห็นขบวนรถหรูราคาแพงระยับ อาทิ โรลส์รอยซ์ , เบนท์ลี่ย์ ,จากัวร์ และเมอร์เซเดส-เบนซ์ จอดเรียงรายอยู่นับสิบๆ คัน ประเมินมูลค่ารถรวมกันไม่น่าจะต่ำกว่า 100 ล้านบาท
เหตุใดรถหรูราคาแพง เหล่านี้จึงมาจอดซ่อมอยู่ในอู่เพิงสังกะสีริมถนน“ผู้จัดการมอเตอริ่ง ไลท์” มีคำตอบ กับการสัมภาษณ์ “ช่างเปล่ง” เจ้าของอู่ว่าถึงเรื่องราวความเป็นมา
“เมื่อ 20 ปีก่อน ผมซ่อมรถอยู่กับเถ้าแก่แถวรองเมือง ซ่อมรถจำพวก เบนซ์ จากัวร์ รถอเมริกัน โอลด์โมบิล และเชฟโรเลต ตอนเริ่มงานครั้งแรกไม่มีความรู้อะไรเลย เดินทางจากต่างจังหวัดมาหางานทำในกรุงเทพฯ” ช่างเปล่งเอ่ยถึงจุดเริ่มต้นของการเป็นช่างซ่อมเครื่องยนต์
เมื่อไม่มีความรู้เกี่ยวกับช่างติดตัวมา ดังนั้นวิธีการเรียนรู้ของเขานอกจากการลงมือทำเองแล้ว ช่วงพักก็แอบดูเถ้าแก่ซ่อมรถ และใช้เครื่องมืออะไรในการถอดน็อตหรือใส่ของชิ้นนี้ ไม่ต่างจากคำของผู้ใหญ่ในอดีตที่ว่า “ครูพักลักจำ” ที่สร้างคนให้มีความรู้มานับไม่ถ้วน ช่วงแรกรถที่ช่างเปล่งซ่อม ส่วนมากจะเป็นรถเบนซ์พวก w190 , w108
“คือเถ้าแก่จะไม่มานั่งสอนว่า ให้ใช้ประแจตัวนั้นกับน็อตตัวนี้ เราต้องสนใจใฝ่รู้เอง ผมไม่เคยเรียนทฤษฎี มีแต่ปฏิบัติอย่างเดียว” ช่างเปล่งบอก
หลังจากอยู่กับเถ้าแก่ 6-7 ปี พอจะมีความรู้ซ่อมรถได้ จึงแยกตัวออกมาทำเองร่วมกับญาติ และย้ายไปอยู่ฝั่งธนบุรี โดยไม่บอกลูกค้าเดิมเลย บอกแต่เถ้าแก่ว่า ผมจะไปเปิดอู่เองนะ เถ้าแก่ก็เข้าใจ
สาเหตุที่ไม่ได้บอกลูกค้าเพราะช่างเปล่งรู้สึกว่า จะเป็นการเนรคุณต่อเถ้าแก่ซึ่งสั่งสอนให้เรามีวิชาความรู้ เหมือนเราไปแย่งลูกค้าเขา ฉะนั้นตอนที่ออกจากอู่จึงไปอย่างเงียบๆ ไม่มีการแจกนามบัตรหรือเบอร์โทรศัพท์ แก่ลูกค้าเก่าเลยสักคน
หลังเปิดอู่ทำร่วมกันกับญาติได้สักพัก ถึงเวลาแยกตัวมาทำเองลำพัง ช่างเปล่งเล่าว่า วันแรกของการย้ายมาเปิดอู่ปัจจุบัน บนถนนเพชรบุรี เป็นวันเดียวกับที่เขามีการประทะกันระหว่างมหาจำลองกับทหาร เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2535
“ตอนนั้นใจไม่ดีเหมือนกัน เปิดวันแรกก็มียิงกันแล้ว นึกในใจอู่เราจะอยู่รอดไหม ลูกค้าเก่าก็ไม่มี จำได้ว่ารถคันแรกที่เข้ามาซ่อมเป็นรถเบนซ์ ซึ่งเจ้าของมีบ้านอยู่ละแวกนี้ ค่าซ่อมรถ 20 บาท และผมยังเก็บเงินไว้เป็นขวัญถุงและบุญคุณของเขาผมไม่เคยลืม มันเป็นกำลังใจสำคัญ ทุกวันนี้เขายังเอารถมาซ่อมกับผมอยู่เหมือนเช่นเคย ”
และเมื่อเอ่ยถึงเรื่องของบุญคุณ สิ่งที่ทำให้ช่างเปล่งยืนหยัดมาได้คือ “เครื่องมือ” โดยทุกปีช่างเปล่งจะจัดทำพิธีบูชาเครื่องมือ เก็บล้างทำความสะอาดเครื่องมือทุกชิ้นแล้วเอาด้ายแดงมาผูกและให้ลูกน้องทุกคนรวมถึงตัวเอง กราบไหว้ ในฐานะ “ผู้มีพระคุณ”
“เพราะการเป็นช่าง เครื่องมือถือเป็นสิ่งสำคัญสุด ถ้าไม่มีเครื่องมือจะทำอะไรไม่ได้เลย เวลาทำงานเราทั้งเหยียบ ทั้งกระแทก ทุบ ตี ใช้งานสารพัดรูปแบบ ถ้ามีจิตวิญญาณก็อยากให้เขารับรู้ว่า เราให้ความเคารพและรู้สำนึกในบุญคุณที่เขามีต่อเรา จึงทำพิธีดังกล่าวขึ้น”
หลังจากผ่านช่วงวิกฤตมาได้ก็มีรถเข้ามาซ่อมอยู่เรื่อยๆ โดยลูกค้าจะบอกปากต่อปาก ไม่มีการโฆษณา และมีหลายครั้งที่ลูกค้าเก่า (สมัยอยู่กับอู่ซ่อมที่รองเมือง)ได้รับการแนะนำจากเพื่อนฝูงของเขาให้ลองมาซ่อมที่นี่โดยไม่รู้ว่าเป็นช่างเปล่ง เมื่อลูกค้ามาเจอถึงกลับต่อว่า “หายไปไหนเฉยๆ ทำไมไม่บอกกันบ้างจะได้ตามมาซ่อม”
จนมาถึงวันที่สร้างจุดเปลี่ยนให้ช่างเปล่งเป็นที่รู้จักในนาม “อู่นอกซ่อมรถหรู” เมื่อลูกค้าคนหนึ่งนำรถ โรล์สรอยซ์ มาให้ทดลองซ่อม โดยโยนกุญแจให้ แล้วบอกว่า “ลองดู ผมว่าช่างเปล่งซ่อมได้”
เนื่องจากลูกค้าท่านนั้นซ่อมรถอยู่เป็นประจำ และมีรถโรล์สรอยซ์ เสียอยู่คันหนึ่ง จึงให้ลองซ่อมดู ช่างเปล่งไม่เคยซ่อมโรล์สรอยซ์มาก่อน แต่ด้วยคติของความเป็นช่าง “ยังไงต้องซ่อมได้” ก็เลยลองดู
“รถอาศัยช่าง ช่างอาศัยรถ” ช่างเปล่งอาศัยรถโรล์สรอยซ์เป็นครู ลองผิดลองถูก ซ่อมไปซ่อมมาจนใช้งานได้ และในวันที่เราไปสัมภาษณ์ รถคันดังกล่าวจอดอยู่ที่อู่พอดี เนื่องจากเจ้าของยังไม่มีทุนทรัพย์พอซ่อม (ธุรกิจมีปัญหา) จึงขอฝากช่างเปล่งดูแลไว้ก่อน รอจนมีกำลังทรัพย์พร้อมเมื่อไหร่แล้วจะกลับมาเอา
และวันนั้นมีลูกค้าขับรถเบนซ์เข้ามาให้ดูอาการ เพราะมันมีของเหลวหยดใต้ท้องรถ สิ่งที่เราเห็นยิ่งว่าการบริการฟาสแท็คซ์ของศูนย์บริการรถหรูเสียอีก ....เพียงแค่จอดรถปุ๊บบอกอาการปั๊บ แม่แรงถูกสอดเข้าไปยกรถทันทีหลังบอกอาการเสร็จ พร้อมกับช่างมุดเข้าไปดูและกลับออกมาบอกว่า “น้ำมันเบรกรั่วครับ เดี๋ยวจัดการให้ช่วงเย็นน่าจะรับรถได้”
“รู้จักอู่นี้เพราะมีรุ่นพี่แนะนำ ที่สำคัญเคยเอาไปซ่อมที่ศูนย์บริการอย่างเป็นทางการหลายครั้งแต่ซ่อมไม่หาย พอมาลองซ่อมที่นี่กลับหาย จากนั้นรถทุกคันที่บ้านให้ช่างเปล่งดูแล คุยง่าย สะดวก อะไรก็ซ่อมได้ ราคาไม่แพง ถามว่าเชื่อใจช่างขนาดไหนถึงเอารถแพงมาซ่อมอู่นี้ ผมดูจากผลงานและการันตีโดยคนที่เชื่อถือได้แนะนำมาครับ” คำสัมภาษณ์ของลูกค้าที่นำรถเบนท์ลี่ย์ รุ่น เทอร์โบ อาร์แอล ปี 1997 เข้ามาซ่อม
สำหรับรถรุ่นใหม่ๆ ที่มีระบบไฟฟ้าเยอะๆ ช่างเปล่งจะบอกลูกค้าตามตรงว่าซ่อมไม่ได้ ไม่มีเครื่องมือ ต้องเข้าศูนย์ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ดูก่อน ซึ่งเมื่อเข้าไปแล้วหากผลออกมาเป็นอาการเครื่องยนต์ ทางเราก็พอซ่อมได้แต่ลูกค้าต้องเลือกว่าจะซ่อมกับเราหรือให้ศูนย์ซ่อมก็แล้วแต่ลูกค้า
กว่า 20 ปี ช่างเปล่ง ซ่อมรถมาแล้วนับไม่ถ้วนส่วนใหญ่จะเป็นรถยุโรป รถเก่า ปัจจุบันมีลูกน้องอยู่ 8 คน ช่างเปล่งบอกว่า การเป็นช่างต้องใจรัก ขยัน และอดทน รถทุกคันต้องซ่อมให้ได้ รถลูกค้าก็เหมือนกับรถของเรา มีอะไรให้พูดตรงๆ และจงเป็นช่างซ่อมไม่ใช่ช่างเปลี่ยน แล้วคุณจะประสบความสำเร็จ