xs
xsm
sm
md
lg

...แห่งสยาม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


‘รักแห่งสยาม’ ภาพยนตร์อบอุ่นไอรัก หลายคนไปดูแล้วชอบ เดินกุมมือคู่รักออกมา หลายคนส่ายหน้าเพราะรู้สึกเหมือนถูกหลอก แต่หนังเรื่องนี้ก็ได้ตั้งคำถามกับสังคมอีกครั้งต่อการมีอยู่ของเพศที่ 3 หรือกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ (ที่นักวิจารณ์ภาพยนตร์บางคนยังใช้คำว่า ‘เบี่ยงเบนทางเพศ’ อยู่) และตอนนี้ ‘รักแห่งสยาม’ ถูกตัดต่อใหม่เป็นฉบับ Director Cut ด้วยความยาวเกือบ 4 ชั่วโมงเพื่อนำกลับไปฉายอีกครั้งที่โรงหนัง House เพื่อตอบรับเสียงเรียกร้องของผู้ชมที่อยากดูฉบับเต็ม (เข้าฉายไปตั้งแต่เมื่อวานและจะฉายเพียงอาทิตย์เดียว) ซึ่งก็คงเป็นเครื่องยืนยันกระแสของหนังได้เป็นอย่างดี

‘ปริทรรศน์’ เลยถือโอกาสนี้ไปนั่งสนทนากับ มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับรักแห่งสยาม ไถ่ถามเรื่องหนังรักแห่งสยาม ฉบับ Director Cut จนล่วงเลยสู่บริบทอื่นๆ แห่งสยามประเทศ ปนเปกันไป ลองอ่านเสียงของเขาดู...

ชอบตอบ

ชายหนุ่มวัย 26 คนนี้ ที่แม้ว่าตัวเขาจะมีผลงานและรางวัลเป็นเครื่องการันตีมากมาย แต่หนังเรื่อง ‘รักแห่งสยาม’ ที่ฉายภาพความรักของเพศที่ 3 กลับทำให้ชื่อของเขากลายเป็น Interview ในนิตยสารหลายฉบับ

- หลังหนังเรื่องนี้มีคนมาสัมภาษณ์เยอะมาก พูดตรงๆ ก็มีอยู่แล้วแหละที่จะเบื่อบ้าง แต่ถ้าคำถามใหม่ๆ ก็ไม่เบื่อ ยินดีที่จะตอบ เราเป็นคนชอบตอบคำถามอยู่แล้ว เป็นประเภทกูรู ถามอะไรตอบได้หมด ชอบตอบ ถูก ไม่ถูก ไม่รู้แหละ ตอบไว้ก่อน แต่ถ้าเจอคำถามแบบ...ทำไมถึงได้มากำกับหนัง คิดยังไงจึงเลือกนักแสดงคนนี้มา ถ้าอย่างนี้ก็จะตอบเป็นนกแก้ว นกขุนทองไป

Director Cut

‘รักแห่งสยาม’ ถูกพูดถึงกันเอิกเกริกตั้งแต่ตัวอย่างหนังที่ปกปิดเนื้อในบางด้านได้มิดชิด และเมื่อหนังเข้าฉายก็กลายเป็นกระแสตามติดมาในเวบอีกมากมาย กลายเป็นที่มาของสร้างฉบับ Director Cut เพื่อตอบสนองเสียงเรียกร้อง

- ในเว็บไซต์มีคนพูดถึงเยอะ มีกลุ่มแฟนคลับขึ้นมา มีคนเรียกร้องเข้ามาค่อนข้างมากว่าควรจะฉาย อยากดู เพราะเขารู้ว่าหนังมันยาวมาก ตอนแรกเราก็ครึ่งๆ กลางๆ แต่ว่า DVD ก็จะออกเป็น Director Cut อยู่แล้ว ไหนๆ ก็จะออกแล้วก็เอามาฉายโรงดูแล้วกันว่าจะเป็นยังไง สำหรับคนที่อยากจะดูจริงๆ เพราะว่าการดู Director Cut ต้องใช้ความอดทนมาก เพราะมันนาน ยาว และมันก็เป็นเรื่องที่คุณรู้อยู่แล้วจากเวอร์ชันในโรงหนัง แต่มันจะขยายขึ้นมานิดหนึ่ง มันเป็นเวอร์ชันที่ไม่สามารถฉายในโรงหนังทั่วไปได้ เพราะมันยาวเหลือเกิน ฉากเลิฟซีนไม่มีหรอกครับ (หัวเราะ) เพียงแต่ว่าจะเล่าที่มาที่ไปของตัวละคร รายละเอียดของตัวละครว่าคิดอะไรถึงทำอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างเช่นในเรื่องพี่นก (สินจัย เปล่งพานิช) เห็นว่าเด็กสองคนมีอะไรกัน เขาผ่านการคิดก่อนนะ ไม่ใช่อยู่ดีๆ พุ่งไปที่บ้านเลย ลองไปดูในโรงดีกว่า

- เราต้องตั้งจุดยืนของเราว่าเวลาเราทำหนังสักเรื่องเราทำเพื่อรองรับอะไร ถ้าเราทำหนังสั้นของตัวเราเอง เราทำเพื่อศิลปะเต็มที่ เราใช้เงินตัวเอง เราจะทำอะไรก็ได้ จะยาว 3-4 ชั่วโมงก็ได้ แต่รักแห่งสยามมันทำเพื่อรองรับตลาด นายทุน และตัวเราเองด้วย ต้องหาจุดลงตัวของมันให้ได้ ถ้าเราคิดแบบนั้นเราก็สบายใจว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ไม่ใช่ว่าเราจะต่อสู้มาเพื่อให้ได้งานศิลปะที่สมบูรณ์แบบ แต่ว่านายทุนเจ๊ง แล้วเราจะมีงานทำมั้ย พูดตามตรงนะว่าเราก็ทำมันเป็นอาชีพเลี้ยงตัว ดังนั้น เราเข้าใจระบบว่าหนังจะยาวหรือสั้น ค่าตั๋วมันเท่ากัน สมมติหนังเราเต็มเหยียด 4 ชั่วโมง มันจะได้วันละ 2 รอบเท่านั้นเอง รายได้ของโรงหนังก็ลดไปแล้ว เช่นเดียวกันรายได้ของหนังเองก็ลดลงไปตาม

- ถ้าเราเข้าใจเราจะไม่ถูกกลืนกิน ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็จะเป็นคนยอมหักไม่ยอมงอ แล้วเราก็จะเป็นศิลปินจริงๆ แต่อาจจะไส้แห้ง เข้าใจแต่ไม่ถูกกลืนกิน ณ ที่นี้คือเราอยู่จุดยืนของตัวเรา สมมติเราไปทำเอ็มวีหรือโฆษณา เอ็มวีจุดประสงค์เขาเพื่อขายนักร้อง ขายเพลง เรามีสิทธิ์ใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปได้เต็มที่ แต่ผลสุดท้ายก็เพื่อสร้างภาพตัวศิลปิน ดังนั้น มันก็มี Limit ในการทำงานระดับนี้ อย่างโฆษณาก็ทำเพื่อขายของ ลูกค้าก็อยากจะขายของ เราจึงรู้ว่าอะไร ทำไปเพื่ออะไร แต่เอ็มวีกับโฆษณามันไม่ใช่เครดิตเรา พอมาเป็นหนังใหญ่ เราเอาเงินจำนวนมากของคนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่เรามาทำ ดังนั้น ก็เพื่อตลาดหนึ่งและมีชื่อเราอยู่ในนั้น และอย่างน้อยมันก็ควรมีสาระ แก่นสาร ความเป็นศิลปะลงไปในนั้นบ้างเพื่อให้งานที่ออกไปเป็น Commercial ซะจนหาความงามทางศิลปะไม่ได้เลย ต้องหาจุดกึ่งกลาง เป็นจุดที่เรายังสบายใจอยู่ ไม่อึดอัดที่จะทำ แล้วก็โชคดีที่ไม่มีใครมาบอกให้เราทำนั่น ทำนี่เวลาเราทำงาน

รักคือ...

ความรักคืออะไร? (ใครจะไปตอบได้) ครั้งหนึ่งมะเดี่ยวพูดว่าเขาทำหนังเรื่องนี้เพื่อตั้งคำถามว่ารักคืออะไร

- ไม่เจอคำตอบหรอกครับ (หัวเราะ) มันเป็นเรื่องที่กว้างใหญ่มากและไม่อาจหาญจะไปให้นิยามหรือคำตอบได้ ความรักมันเป็นสิ่งลึกลับ มันเป็นสิ่งที่คนค้นหาคำตอบว่ามันคืออะไร มันก็ไม่มีคำตอบจะกี่ยุคกี่สมัย มันเป็นเรื่องคลาสสิก ยังเป็นเรื่องโดนใจผู้คนอยู่ตลอดเวลา ผู้คนยังไขว่คว้าหาความรักอยู่ตลอดเวลา

- ความรักสำหรับตัวเราเองเป็นสิ่งที่ผูกพันคนไว้ด้วยกัน คือเราจะ Amazing มากในความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ความรักที่อบอุ่น ความรักที่ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน นี่คือสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดในโลกที่คนเราจะพึงกระทำต่อกันได้ ความรักที่ไม่มีคำตอบ มันเป็นสิ่งที่โยงใยผู้คนเข้าหากัน ผมถือว่ามันเป็นเรื่องที่ดีและคนเราควรมี เพราะมันเป็นพื้นฐานของทุกสิ่งทุกอย่างเลย พื้นฐานของความสงบ สันติภาพ คนรักกันแล้วจะเข้าใจกัน เราจะอยู่เย็นเป็นสุขได้ ไม่แบ่งแยก

บำบัด

เราต่างมีความกดดันจากสิ่งต่างๆ รอบตัว เราต่างมีวิธีบำบัดหลากหลายเพื่อผ่อนคลายแรงกดดันไม่ให้มันบีบอัดเราจนระเบิด สำหรับมะเดี่ยว-คนชอบตอบ ชอบถาม และช่างอึดอัด ก็มีหนังกับเพลงที่คอยช่วยบำบัดแรงกดดันภายใน

- การทำหนังมันเหมือนเป็นการได้สร้างโลก สร้างจินตนาการของเรา รองรับความอึดอัด ข้องใจ อย่างเรื่องรักนี่ มันข้องใจมานานแล้วแหละว่าทำไมผู้คนถึงไขว่คว้าหาความรักกันจังเลย ทำไมถึงเสียใจอะไรกันก็ไม่รู้ นั่นคือการที่เราค้นหาคำตอบ ในระหว่างทางที่เราหาคำตอบคือการบำบัด การออกไปพูดคุยกับผู้คน การได้เขียน และได้คิด อย่างเราทำรักแห่งสยาม เราก็คลายเปลาะหนึ่งของความรักไปได้แล้ว เมื่อตอนเป็นเด็กก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปหรือเมื่อไม่นานมานี้ เราก็ยังอยู่ในวังวนของความรัก ไขว่คว้าหามัน เหงาจังเลย หัวใจว่างเปล่า พอเราทำหนังเรื่องนี้เสร็จปุ๊บ เราเหมือนโอเคกับมันมากขึ้น ตอนนี้ถามว่ามันเป็นเรื่องยังไงเหรอ มันเป็นเรื่องรองๆ ของชีวิตไป เรื่องที่เรา Focus อยู่เป็นเรื่องการทำมาหากิน การทำอะไรเพื่อรับผิดชอบคนอื่น

- หนังอาร์ต...เรียกว่าหนังเพื่อจรรโลงศิลปะแล้วกัน เคยทำแล้วดูรู้เรื่องอยู่คนเดียว ดี มีหลากหลายเผ่าพันธุ์ดี หนัง อันดับแรกมันคือศิลปะอยู่แล้ว ดังนั้น มันก็ต้องมีอะไรพวกนี้อยู่แล้วเพื่อขับเคลื่อนให้มันอยู่ต่อไป อาจจะอยู่ในพื้นที่ที่คนส่วนใหญ่ยังเข้าไม่ถึง แต่ว่าการดำรงอยู่ของมันก็ทำให้งานศิลปะอยู่คู่โลกต่อไป เราก็ดู ก็เสพ ก็ไม่ได้ว่าจะต้องเอาคำตอบอะไรจากมัน แต่หนังมันก็ทำให้เรารู้สึกอะไรบางอย่างได้ เราก็ชอบ อย่างเรื่องแสงศตวรรษของพี่เจ้ย (อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล) ที่ชอบมาก คลั่งไคล้

- จริง จริงที่สุดเลย เวลาจะคัดกรองคนทำหนัง เพราะเราก็เคยผ่านการทำหนังแบบนั้นมาก่อน อยากทำหนังเพราะสนุก เพื่อป่าวประกาศตัวเอง เหมือนกัน แต่การทำหนังมันเหนื่อยมาก ใช้เวลาเยอะ ต้องทะเลาะตบตีกับผู้คนบ้าง อาจจะขัดแย้งบ้าง นั่นแหละมันจะคัดกรองให้คนทำได้รู้ว่าตัวเองอยากจะทำอะไรจริงๆ มันเหมือนยุคหนึ่งที่วัยรุ่นชอบเล่นดนตรี บางคนก็เล่นดนตรีโชว์สาว บ้างก็เล่นจริงๆ แต่จะมีสักกี่คนที่เติบโตขึ้นมาเป็นแบบพี่โอม-ชาตรี คงสุวรรณ หรือพี่เล็ก-คาราบาว

- ดนตรีมันบำบัดกว่าอีก คือผมโตมากับดนตรี 3 ใน 4 เลย ผมเป็นนักดนตรี มันคือจิตวิญญาณหรือชีวิตที่โลดแล่นอยู่กับตัวโน้ต ถ้าคนที่รู้จักเราจริงๆ จะรู้ว่าเราอยู่กับสิ่งนี้เยอะมาก ยังไปร้องเล่นอยู่กับเพื่อนๆ บ่อยๆ แล้วเวลาเล่นดนตรีทุกอย่างจะถูกลืมไปหมดเลย มันจะหายไปหมด เหมือนกับอยู่ในที่ที่เราคุ้นเคยและเราอินไปกับมัน การแต่งเพลงก็เป็นการระบายออกอย่างหนึ่ง แน่นอนมีทั้งเพลงรัก ทั้งเพลงที่เกี่ยวกับอย่างอื่น

- ยังคิดจะออกอัลบั้มอยู่ แต่ทุกวันนี้เรามีน้องๆ วงออกัสแล้ว อาจจะยกเพลงให้ไปร้องเลยก็ได้ เขาเหมือนทำในสิ่งที่เราอยากทำได้เต็มที่แล้ว คือความอยากตรงนั้นไม่ได้เยอะแยะมากมายแล้ว มันหายหกตกหล่นไประหว่างทาง เพราะการเข้าไปในวงการเพลง แล้วทุกวันนี้วงการเพลงมันเป็นยังไง ขายได้หมื่นแผ่นก็ดีใจแล้ว แล้วเพลงถูกผลิตออกมาราวกับว่าเป็นโรงงาน เหมือนกับไม่อยากให้โลกนี้เงียบ แต่ถามว่าเพลงที่มันจริงใจอย่างเพลงของป๊อด-โมเดิร์นด็อก เพลงของพี่บอยด์ชุดแรกๆ ทุกวันนี้มันไม่เกิดขึ้นเลย ถามดูสิว่าทุกวันนี้ตัวแทนของคนรุ่นใหม่คือใคร ยังเป็นพี่ป๊อด-โมเดิร์นด็อกอยู่เลย นี่แหละ ทำให้เราหมด...ไม่ใช่หมด แต่เราควรถอยฉากออกมาจากวงการเพลงก่อน

- เสียงดีมั้ยเหรอ? ก็ฟังใน Soundtrack เอาแล้วกัน เสียงไม่ดีหรอก แต่เสียงจริงใจ (หัวเราะ)

อึดอัด

มะเดี่ยวบอกว่าชอบให้คนถามเรื่องการเมืองและสังคม เขาอยากตอบ ดูเหมือนมนุษย์อึดอัดอย่างเขาจะมีอะไรอึดอัดคับข้องอยู่ข้างในมากมาย อาจเพราะการเป็นคนทำหนังจึงทำให้เขาต้องคิดมากกับสถานการณ์รอบตัว เขาคิด แน่นอนว่าต้องคิด เขาคิดอยากจะทำหนังเกี่ยวกับการเมือง แต่พูดกลั้วเสียงหัวเราะว่าไม่รู้จะได้ฉายหรือเปล่า

- ความอึดอัดในตอนนี้เหรอ... มันไม่ใช่เรื่องของปัจเจกแล้วล่ะ ตัวเราเองมันไม่มีอะไรต้องคิด เพราะเรา...ไม่รู้สิ มันก็ไม่ถือว่าลงตัวแต่ว่าในสถานการณ์ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องคิด แต่จะอึดอัดกับสังคม การเมือง อึดอัดมาก ผมสนใจการเมือง โดยเฉพาะตอนมหา’ ลัย อย่างในหนังเรื่องลี้, 2003 หรือ 13 มันก็จะมีนัยอะไรแอบแฝงอยู่ในนั้น แต่พูดเต็มๆ ไม่ได้ มันเหมือนเลือกข้าง ถามว่าผมเลือกข้างมั้ย จังหวะนี้ผมไม่เลือกข้างนะ เพราะตอนนี้มองไปทางไหนก็น่าเศร้าใจไปหมด เอาเป็นว่าผมไม่ได้รู้อะไรมาก แต่ผมได้พูดคุย ได้ฟังผู้ใหญ่ มันทำให้เรารู้เรื่องเกี่ยวกับการเมืองบ้าง ประมาณว่าประชาธิปไตยที่เราได้มาทุกวันนี้ มันกัดกร่อนสังคมเราจังเลย ไม่ใช่ว่าเราไม่ชอบประชาธิปไตยนะ ...คือประเทศเรามันแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันไปหมด มันไม่มีผลดีเกิดขึ้นในประเทศเลย ก็ใช่ อเมริกาก็แบ่งระหว่าง 2 พรรค ถูก แต่ว่าสังคมเขามันมีพื้นฐานของการยอมรับความคิดเห็นกัน ใช่มั้ย แต่สังคมบ้านเราจะยึดเอาเป็นเอาตาย ถ้าคุณชนะ เราก็จะไม่แพ้ แล้วบ้านเรายังมีสิ่งที่เรียกว่าอำนาจนิยมอยู่เต็มไปหมดเลย (ทำหน้าเบื่อๆ) ใครมีกำลังเยอะคนนั้นก็ได้ปกครอง มันเป็นอย่างนี้

- ทุกวันนี้มีใครฟังเสียงประชาชนบ้าง ประชาชนไม่ได้เป็นใหญ่นะ คนในเครื่องแบบ คนที่มีอำนาจเป็นใหญ่ ในจุดย่อยๆ ของสังคมทุกวันนี้ใครกล้ามีปากเสียงกับตำรวจ ทั้งๆ ที่เขาต้องเป็นคนทำงานเพื่อรับใช้เรา ไม่ใช่ออกกฎหมายมารังแกเรา อย่างพี่ที่เขียนบทเล่าให้ฟังว่าขโมยขึ้นบ้าน แต่ตำรวจไม่ช่วยอะไรเขาเลย ตบท้ายด้วยการบอกว่าทำไมไม่ฝากบ้านไว้กับตำรวจ เขาบอกว่าถ้าไม่เพิ่มพิเศษให้ก็ต้องหาผู้ใหญ่กว่ามาบีบ ขโมยขึ้นบ้าน เอาทองไปหมดบ้าน แล้วต้องเอาเงินไปจ่ายให้ตำรวจเพื่อตามจับโจรอีกเหรอ เงินภาษีเราทำหน้าที่อะไรอยู่วะ นี่คือความคับข้องใจว่าทำไมเราต้องยอมจำนนต่ออำนาจแบบนี้ด้วย

- ที่น่าห่วงมากๆ ตอนนี้คือคนรุ่นใหม่ไม่สนใจการเมือง เคยได้ยินคนพูดว่าเดี๋ยวผู้ใหญ่ก็จัดการกันเองแหละ เฮ้ย มึงอายุ 20 กว่าแล้วนะ (หัวเราะ) อย่างในยุคหนึ่งนักศึกษาเป็นคนขับเคลื่อนสถานการณ์บ้านเมือง ทุกวันนี้ไม่มีนักศึกษาที่ไหนเอาใจใส่เรื่องนี้เลย ปล่อยให้คนโกงกินกันจัง แล้วก็ปล่อยให้อำนาจมืดดำเนินอยู่เบื้องหลังสังคมเราต่อไป

- สังคมเราไม่นิยมคนมีปัญญา แต่นิยมคนมีกำลัง น่าเศร้า

เกย์

ทำหนังเกี่ยวกับเพศที่ 3 แบบนี้ หลีกเลี่ยงได้ยากยิ่งที่จะไม่เจอคำถามและข่าวคาวตามวัฒนธรรมของวงการบันเทิงบ้านเรา ทำตัวเป็นนักข่าวบันเทิงกอสสิปยิงคำถามใส่มะเดี่ยว แต่บอกกล่าวไปพร้อมกับคำถามด้วยว่าไม่ตอบก็ได้ เขาตอบ

- ผมเป็นเกย์หรือเปล่า เอาเป็นว่าผมจะตอบว่าผมมีความสุขและร่าเริงกับชีวิตดี เท่านี้ จบ

- จากที่เป็นเป้าโจมตีมาตลอดเรื่องผมกับน้องมาริโอ พอหนังออกไปแล้วก็มีคนถามว่าเป็นเกย์หรือเปล่า ถึงขั้นออกทีวีเลยนะ สัมภาษณ์น้องมาริโอออกทีวี น้องเขาไม่ตอบ เดินหนีไป ไปตั้งคำถามแบบนั้น ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก ก็มีข่าวกับพิชอีก ซึ่งเราก็รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร น้องทั้ง 2 คนคือผู้ร่วมงานกัน น้องๆ เขาก็มีชีวิตของเขาดีอยู่ แล้วไปยุ่งอะไรกับเขา คุณไปเขียนออกมาอย่างนี้ ก็เฉยๆ นะ แต่เมื่อมีโอกาสพูดบ้างก็...สงสารน้องเขาบ้างเถอะ เขามีพ่อ มีแม่นะ จงเลิกทำเสียเถอะอาชีพแบบนี้ คุณขายข่าวด้วยการสร้างข่าวลือ เวรกรรมนี้จะทำให้คุณเจอแต่เรื่องแย่ๆ ในชีวิตนะ

เร็ว

คนยุคนี้ส่วนใหญ่ตามหาความสำเร็จ ขอให้ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลผู้ประสบความสำเร็จสักด้านเถอะ ด้านอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องถามแล้วกระมังว่าตอนนี้มะเดี่ยวเป็นผู้กำกับหนังที่ประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่อายุแค่ 26 ปี มันเป็นการประสบความสำเร็จที่รวดเร็วและบุ่มบ่ามไปหรือเปล่า ถ้าตั้งหลัก ตั้งตัวไม่ดีจะพานโซเซได้ง่ายๆ เขาตอบว่าเร็วไป แต่...

- เร็วครับ แต่มันมาในเวลาของมัน ถามตัวเองว่าประสบความสำเร็จหรือยัง ก็ต้องยอมรับว่างานชิ้นนี้ทำให้คนรู้จักเราในฐานะผู้กำกับมากขึ้น คนรู้จักว่าเราเป็นนักดนตรี ยอมรับในผลงานเรามากขึ้น ถ้าไม่เรียกว่าความสำเร็จก็กระแดะแล้ว นี่คือสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นกับงานตัวเอง เราก็เช่นกัน แต่มันเร็วมั้ย ถ้าเทียบกับการทำงานและความตั้งใจของเรา ก็ถือว่ามันมาในช่วงเวลาที่เราอยู่ถูกที่ ถูกเวลา เราเหนื่อยมากๆ มันก็เป็นผลตอบแทนจากการที่เราตกระกำลำบากมาเหมือนกัน เราพาหนังเรื่องนี้ไปล้มลุกคลุกคลานมาไม่รู้ตั้งกี่ค่ายกว่าจะมาลงตัวที่นี่ อะไรที่มันวูบวาบ ขึ้นมาอย่างรวดเร็วและไปอย่างรวดเร็ว ในวงการศิลปะนี่มันใช้เวลานานนะกว่าจะยอมรับว่างานชิ้นไหนเป็นศิลปะนะ เราจะเรียกงานตัวเองว่าเป็นงานศิลปะโดยที่คนอื่นไม่ได้เรียกด้วยก็กระไรอยู่ แต่ในวงการบันเทิงเป็นเรื่องปกติที่ใครจะดังขึ้นมา อยู่ดีๆ ก็ดังเลย แล้วก็จากไปเลย นี่แหละเป็นสิ่งที่เราต้องรักษางานของเราไว้

- ไม่กลัว เราตั้งใจทำงานทุกเรื่อง เราทำจนเราคิดเว่าในความคิดเรามันสำเร็จแล้ว เป็นงานที่เราโอเคแล้ว ฉะนั้น วันหนึ่งใครจะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็เป็นสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น

ถาม

ไม่มีคำถามหลงเหลือในวันนั้นแล้ว เอาเป็นว่าคุณอยากถามอะไรบ้างหรือเปล่า

- ถามสังคมว่าเราอยู่กับอะไรอยู่วะ ทำไมเราถึงไม่ยอมรับความเห็นของกันและกัน ทำไมเราต้องแบ่งฝัก แบ่งฝ่าย ทำไมเราต้องยอมจำนนต่ออะไรก็ไม่รู้ นี่แหละคือคำถามซึ่งคงจะอยู่ในหนังเรื่องต่อไป

**********************

เรื่อง-กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล


กำลังโหลดความคิดเห็น