xs
xsm
sm
md
lg

สามีไม่อยู่ สะใภ้ญี่ปุ่นร่าเริง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพจาก cbchintai.com
คอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” โดย “ซาระซัง”

สวัสดีค่ะเพื่อนผู้อ่านทุกท่าน ช่วงนี้สามีฉันต้องกลับไปทำธุระทางบ้านที่ญี่ปุ่นประมาณหนึ่งเดือน เลยเป็นครั้งแรกที่ฉันต้องอาศัยอยู่คนเดียวในต่างประเทศเป็นเวลานาน ๆ มันทำให้ฉันสังเกตเห็นบางอย่างเพิ่มเติมขึ้นมาในชีวิตประจำวัน เลยอยากเล่าให้อ่านเล่นกันเพลิน ๆ ในสัปดาห์นี้ค่ะ

ทีแรกที่ฉันรู้ว่าสามีจะไม่อยู่บ้านนานขนาดนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ อาจจะมโนมากไปหน่อยเลยเหงาขึ้นมาหลายวันก่อนเขาจะเดินทางเสียอีก เขาปลอบใจว่าฉันอยู่คนเดียวได้น่าสบายมาก เพื่อนฉันคนหนึ่งยังใจดีบอกว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนในบางวันที่เธอไม่ต้องทำงาน

อยู่ตามลำพังบ้างให้อะไรมากกว่าที่คิด

ในบทความเรื่อง พันธุกรรมที่ทำให้คนญี่ปุ่นขี้กังวล ฉันเล่าถึงการศึกษาชิ้นหนึ่งที่พบว่า 97% ของสิ่งที่คนเราวิตกกังวลเป็นเรื่องที่คิดไปเองทั้งสิ้น เรียกได้ว่าทุกข์ฟรีเพราะคิดมากเป็นเหตุนั่นเอง

ฉันรู้สึกเหมือนโดนฆ้อนเรื่องนี้เหวี่ยงใส่ในวันที่สองหลังสามีไม่อยู่ มันตลกมากค่ะที่ค้นพบว่าสิ่งซึ่งฉันกังวลหนักหนาไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าจินตนาการไร้สาระ จริงอยู่ว่าฉันรู้สึกโหวงเหวงในวันที่สามีเดินทาง แต่พอตื่นมาในเช้าวันที่สองก็แปลกใจว่าเมื่อคืนหลับสบายกว่าปกติ แถมจะทำงานทำการตามกิจวัตรประจำวันก็รู้สึกโปร่งโล่งเบา ความเครียดที่เคยแบกไว้เหมือนหายไปเยอะมากอย่างน่าประหลาดใจ รู้สึกคล้ายนกที่กำลังโบยบินอย่างเสรีกลางท้องฟ้ากว้างในวันที่อากาศแจ่มใส

ภาพจาก michill.jp
เป็นแบบภาพข้างบนนี้เลยค่ะ (หัวเราะ) มาคิดดูแล้วน่าจะเป็นเพราะปกติเราตัวติดกันแทบ 24 ชั่วโมงนับตั้งแต่ช่วงโควิด แม้ตอนกำลังนั่งทำงานหัวปั่น ฉันก็คอยมองนาฬิกาว่ากี่โมงแล้วจะได้ลุกไปทำกับข้าว ปกติฉันเสียเวลามากกับการทำอาหาร เพราะรู้สึกรับผิดชอบว่าควรทำอาหารอร่อยน่ากินเพื่อสามี แต่พออยู่คนเดียวฉันก็ทำอาหารง่าย ๆ ตอนไหนก็ได้ที่สะดวก แทบจะเรียกได้ว่ากินเพื่อแก้หิวมากกว่ากินสนองตัณหา พอลดเวลาทำกับข้าวไปก็มีเวลาเหลือเพิ่มขึ้นเยอะเลย

เมื่อก่อนฉันกินเยอะกว่านี้ บางทีก็อยากหาอะไรเคี้ยวทั้งที่ไม่ได้หิว แต่ช่วงที่อยู่คนเดียวนี้ฉันกินน้อยลงไปเอง และไม่ได้อยากกินจุบจิบ แถมเมื่อก่อนเคยรู้สึกว่าการทำงานบ้านเป็นภาระมาก ตอนนี้กลับทำความสะอาดบ้านบ่อยกว่าเดิม แถมยังรู้สึกไม่เครียดด้วย ทำให้คิดได้ว่าที่ผ่านมาอาจตั้งกฎเกณฑ์ให้ตัวเองมากไปโดยไม่จำเป็น เลยเครียดแบบไม่รู้ตัว แล้วเผลอกินแก้เครียดอีก ชักสงสัยแล้วสิคะว่าถ้าอยากลดความอ้วนให้ได้ผล อาจต้องแก้ปัญหาเรื่องความเครียดก่อนก็ได้

พอเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า “เห็นไหมล่ะ บอกแล้วว่าจะชอบการอยู่คนเดียว” เธอเคยเลิกกับแฟนไปครั้งหนึ่ง แต่พอกลับมาอยู่ด้วยกันใหม่ ก็คิดถึงตอนที่เคยอยู่ตัวคนเดียวว่าสบายกว่ากันมาก ช่างตัดผมของฉันซึ่งเป็นคนญี่ปุ่นก็บอกว่าเคยมีช่วงที่สามีเธอกลับญี่ปุ่นนาน ๆ อย่างนี้เหมือนกัน พอเธออยู่คนเดียวชินแล้ว วันหนึ่งกลับบ้านมาเห็นหน้าสามี ก็อุทานด้วยความแปลกใจว่า “อ้าว กลับมาแล้วเหรอ” ทำเอาสามีน้อยใจ เธอเลยต้องกลบเกลื่อนไปว่าจำวันกลับผิด

ภาพจาก aeras-group.jp
ด้วยความที่เป็นปาท่องโก๋กับสามีมานานโดยไม่รู้สึกอึดอัด ฉันเลยเข้าใจว่าไม่มีเวลาส่วนตัวก็ไม่เป็นไรกระมัง แต่คิดผิดถนัดเลยค่ะ มาตอนนี้รู้สึกว่าอยู่ห่างกันบ้างอย่างนี้เป็นเรื่องดี ทำให้ได้ทบทวนชีวิต ได้ค้นพบเรื่องสำคัญที่นึกไม่ถึงหลายอย่าง จนอยากเชียร์เพื่อนผู้อ่านให้ลองหาเวลาแบบนี้บ้างถ้ามีโอกาส เผื่อจะได้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตชัดขึ้นค่ะ

Culture shock ยามเพื่อนมาค้างบ้าน

มีเสาร์อาทิตย์หนึ่งที่เพื่อนฉันใจดีมาค้างที่บ้าน แม้จะเป็นคนไทยเหมือนกันแต่เรากลับเผชิญกับ culture shock ฉันรู้สึกแปลกที่เห็นเธอใช้ช้อนตักซุปเต้าเจี้ยวใส่ปาก แทนที่จะใช้ตะเกียบคนแล้วยกขึ้นซด อีกทั้งยังไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงใส่รองเท้าสลิปเปอร์เดินเข้าห้องนอนและห้องครัว ส่วนเธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องถอดออกเวลาเข้าไปในพื้นที่อื่น ๆ

นึกถึงสมัยแรก ๆ ที่ฉันไปบ้านคนญี่ปุ่น ก็เคยประหลาดใจเหมือนกันที่ไม่มีช้อนในชามซุปเต้าเจี้ยว ออกจะกระดากที่รู้ว่าต้องยกซดเพราะในวัฒนธรรมไทยไม่ทำกัน เลยกลัวว่าตัวเองจะกินมูมมาม แต่เห็นเพื่อนญี่ปุ่นฉันทำแล้วก็ดูเรียบร้อยดี คือเธอจะเอาตะเกียบคนในชามให้เต้าเจี้ยวที่ตกตะกอนลอยขึ้นมา แล้วยกซด ถ้าจะกินเครื่องที่อยู่ในซุปก็เอาตะเกียบคีบใส่ปากโดยที่อีกมือหนึ่งถือชามซุปเอาไว้ กว่าฉันจะชินกับการกินซุปเต้าเจี้ยวแบบนี้ก็ใช้เวลา แต่พอชินแบบเป็นอัตโนมัติแล้ว พอมาเห็นเพื่อนใช้ช้อนตักกลับรู้สึกพิกล

ภาพจาก woman.mynavi.jp
ส่วนเรื่องสลิปเปอร์นั้น สาเหตุที่ใส่ก็เพื่อเท้าจะได้ไม่สกปรกจากการเหยียบฝุ่นในบ้าน แต่ถ้าเดินเข้าห้องนอนทั้งสลิปเปอร์ ก็จะเอาฝุ่นติดเข้าไปด้วย จึงต้องถอดสลิปเปอร์ก่อนเข้าห้องนอนซึ่งถือเป็นเขตสะอาด และถ้าใส่สลิปเปอร์เข้าห้องครัวก็จะไปเหยียบเอาเศษอาหารอะไรติดออกมา พอเดินไปที่อื่นก็จะเปรอะไปทั่วบ้านอีก ดังนั้นเวลาเข้าครัวจึงเปลี่ยนเป็นรองเท้าสำหรับในครัวต่างหาก รวมทั้งไม่ใส่รองเท้าในครัวไปเดินที่อื่นในบ้าน สลิปเปอร์ยังเป็นสิ่งที่ปกป้องฉันไว้จากความซุ่มซ่ามส่วนตัวด้วย เพราะเท้าฉันชอบอยู่ไม่สุขเดินไปหาอะไรเตะเข้าอยู่เรื่อย

(ถ้าสนใจเรื่องสลิปเปอร์ อ่านเพิ่มเติมได้ที่ วิถีชีวิตคนญี่ปุ่นกับรองเท้าแตะใส่ในบ้าน ค่ะ)

ถ้าเป็นบ้านฉันที่เมืองไทย เราจะมีผ้าเช็ดเท้าเวลาเดินออกจากห้องครัว ทำให้ไม่ต้องเหยียบอะไรไปเปรอะพื้นส่วนอื่น แล้วสมัยเด็ก ๆ แม่จะให้ไปล้างเท้าให้เรียบร้อยก่อนเข้าห้องนอนเสมอ มันก็จะเป็นนัยคล้าย ๆ กับเรื่องสลิปเปอร์ของคนญี่ปุ่นอยู่บ้าง ไม่ทราบว่าบ้านอื่นเป็นอย่างนี้ไหมนะคะ

ฉันเล่าเรื่องที่เพื่อนมาค้างบ้านให้สามีฟัง เขาบอกว่าอย่างกับมาโฮมสเตย์แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมแน่ะ และพูดทีเล่นทีจริงว่าคราวหน้าต้องลองเอานัตโต(ถั่วเน่าญี่ปุ่น)ให้เพื่อนฉันกินดูบ้าง แต่ฉันกลัวว่าเธออาจจะไม่มาอีกเลย

ภาพจาก suumo.jp
ภรรยาไม่อยู่ สามีก็ร่าเริงเช่นกัน

พอไม่มีคนคอยดูแลเรื่องอาหารการกิน สามีก็ได้กินข้าวสวยญี่ปุ่นชามโตสมใจอยาก (ปกติเรากินข้าวกล้อง) ทั้งยังมีของทอดกับอาหารแปรรูปอย่างไส้กรอกบ่อยครั้ง เลยต้องบอกเขาว่าเพลา ๆ ลงบ้าง และให้กินผักเยอะ ๆ หลากชนิดสลับกันไป ก็โชคดีว่าหลัง ๆ มาเหมือนจะเห็นผักเยอะขึ้นในรูปถ่ายอาหารแต่ละมื้อของเขา และเขาก็ออกกำลังกายทุกวัน เลยไม่ได้พุงพลุ้ยให้เห็น

แม้ตอนนี้เขาจะอยู่ที่บ้านเกิดซึ่งห่างไกลความเจริญมากและไม่ค่อยได้ออกไปไหน แต่ฉันก็อิจฉาที่เขาได้อยู่ญี่ปุ่น เพราะซูเปอร์มาร์เก็ตจะมีสินค้าใหม่ ๆ ออกมาอยู่เรื่อย แถมอาหารการกินในญี่ปุ่นก็มักเป็นไปตามฤดูกาล เวลาอยู่ญี่ปุ่นก็จะได้เพลิดเพลินกับอาหารที่มีเฉพาะฤดู และผลิตภัณฑ์แบบ “期間限定” (คิกังเก็นเต) ที่วางขายแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น

แต่มนุษย์เราก็แปลกที่ชอบใกล้เกลือกินด่าง สามีของฉันไม่ได้สนใจอะไรอันใดกับของกินประจำฤดูกาล จึงทำแต่กับข้าวพื้น ๆ ที่ฤดูไหนก็มี เช่น ข้าวแกงกะหรี่ ครีมสตู เต้าหู้ทรงเครื่องแบบจีน ผัดมะเขือม่วงทรงเครื่องแบบจีน วนไปวนมาคล้าย ๆ กันทุกวัน เขียนมาถึงตรงนี้ฉันก็นึกเหตุผลออกอีกข้อแล้วค่ะว่าทำไมตัวเองถึงขยันทำกับข้าวนัก

“บุริไดกง” ภาพจาก maff.go.jp
อาหารอร่อยประจำฤดูหนาวญี่ปุ่น

ช่วงฤดูหนาวญี่ปุ่น (ธันวาคม-กุมภาพันธ์) เป็นฤดูของหอยนางรม ร้านอาหารและซูเปอร์มาร์เก็ตมักมีเมนู “คาคิฟราย” (カキフライ) หรือหอยนางรมชุบขนมปังป่นทอด อีกอย่างที่อร่อยในฤดูนี้คือปลาบุริ เมนูที่ฉันชอบมากเรียกว่า “บุริไดกง” (ぶり大根) หรือปลาบุริกับไชเท้าต้มซีอิ๊วญี่ปุ่น แม้หน้าตาจะไม่เร้าใจ แต่รสที่ออกเค็ม ๆ หวาน ๆ เข้าเนื้อ ก็เข้ากันได้ดีกับไขมันปลาและความหวานธรรมชาติของไชเท้า อีกทั้งรสสัมผัสที่หยาบของเนื้อปลาก็ตัดกับความนุ่มได้ที่ของไชเท้าอย่างลงตัว อร่อยเกินบรรยาย

ปลาบุริที่ว่านี้ ภาษาอังกฤษเรียก “Japanese amberjack” หรือ “Yellowtail” แม้อย่างหลังจะแปลตรงตัวได้ว่า ‘ปลาหางเหลือง’ แต่ก็คนละอย่างกับปลาหางเหลืองของไทย เอารูปมาให้ดูเทียบกันค่ะ จะได้ไม่เข้าใจผิด

ปลาหางเหลืองญี่ปุ่น (บุริ / ฮะมาจิ) ภาพจาก nippon.com

ปลาหางเหลืองไทย ภาพจาก shopee.co.th
“บุริ” ยังเป็นปลาชนิดเดียวกับ “ฮะมาจิ” ด้วย แต่เรียกชื่อต่างกันตามการเติบโตของปลา โดยบุริจะตัวโตกว่าฮะมาจิ จะว่าบุริแก่กว่าฮะมาจิก็คงได้ อันนี้คล้ายในภาษาอังกฤษที่เรียกเนื้อสัตว์ต่างกันตามอายุ อย่างเนื้อจากแกะอายุไม่ถึง 1 ปีจะเรียกว่า “lamb” ส่วนเนื้อจากแกะอายุเกิน 1 ปีขึ้นไปจะเรียก “mutton” เป็นต้น

ส่วนผลไม้ฤดูหนาวในญี่ปุ่นก็มีทั้งสตรอว์เบอร์รีที่คนไทยชื่นชอบ แอปเปิล ส้มลูกเล็กแป้น ๆ สีส้มสดสวยหวานอร่อยที่เรียกว่า “มิคัง” และลูกพลับ ลูกพลับตากแห้งอย่างที่แห้งด้านนอกแต่ด้านในเป็นวุ้นนุ่มลิ้นก็มีนะคะ ขนาดฉันไม่ได้ชอบลูกพลับก็ยังชอบลูกพลับตากแห้งแบบนี้มาก แต่เจอไม่บ่อยและราคาค่อนข้างแพง

ลูกพลับแห้ง ภาพจาก kakitsubo.jp
สำหรับขนมที่มีเฉพาะฤดูหนาวก็จะเป็นพวกช็อกโกแลตหรือไอศกรีมบางรส ร้านกาแฟหรือร้านขนมหลายแห่งก็จะมีเมนูเครื่องดื่มหรือขนมเฉพาะช่วงเหมือนกัน มักเน้นรสชาติของฤดูกาลนั้น อย่างฤดูหนาวก็จะมีรสสตรอว์เบอร์รี รสมันหวาน เป็นต้น

ถ้าใครมีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่น ต้องลองของกินประจำฤดูกาลเขานะคะ เป็นของดีอย่างหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่ออยู่ญี่ปุ่น แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีค่ะ.

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
"ซาระซัง"  เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์.


กำลังโหลดความคิดเห็น