คอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” โดย “ซาระซัง”
สวัสดีค่ะเพื่อนผู้อ่านทุกท่าน เวลาอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยเรามักจะได้ยินว่ามีคนไม่สบายกันเยอะ แต่ที่ญี่ปุ่นนั้นคนจะไม่สบายเมื่อเข้าสู่เดือนพฤษภาคมโดยไม่ได้เกี่ยวกับสภาพอากาศ ซึ่ง “โรคเดือนพฤษภาคม” นี้เป็นลักษณะของความป่วยไข้ทางจิตใจ ส่งผลไปถึงร่างกายที่อ่อนเปลี้ยตามไปด้วย และดูเหมือนจะเป็นโรคที่มีแต่ในญี่ปุ่นเท่านั้น
ทำไมต้องเป็นเดือนพฤษภาคม? เดือนพฤษภาคมเป็นช่วง 1 เดือนหลังความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน โดยในญี่ปุ่นนั้นเดือนเมษายนจะเป็นช่วงที่เด็กขึ้นชั้นเรียนใหม่ เข้าโรงเรียนใหม่ หรือเข้ามหาวิทยาลัย และเป็นช่วงที่เด็กจบใหม่เริ่มชีวิตการทำงานด้วย หมายความว่ามีคนจำนวนมากทีเดียวที่เข้าสู่กระบวนการของความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้โดยพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ต้นเดือนพฤษภาคมยังเป็นช่วงโกลเด้นวีคหรือช่วงวันหยุดยาวของญี่ปุ่น ซึ่งคนก็จะไปเที่ยวหรือกลับบ้านเกิดกัน พอหลังจากช่วงหยุดยาวก็จะกลับเข้าสู่วงจรปกติ ทำให้คนรู้สึกเซ็ง ๆ
คาดกันว่าทั้งสองปัจจัยนี้ต่างก็มีส่วนทำให้เดือนพฤษภาคมเป็นช่วงที่หลายคนรู้สึกไม่สบายกายไม่สบายใจ ซึมเศร้า ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร หมดเรี่ยวหมดแรง ไปจนถึงไม่เจริญอาหาร และนอนไม่หลับเลยทีเดียว
พฤษภาคม…เดือนที่คนรู้สึกไม่ปกติ
มีคนบอกว่าคาดการณ์ได้เลยว่าในเดือนพฤษภาคมนี้จะเจอวันแย่ ๆ บ่อย เช่น เพื่อนไม่ค่อยยอมมาเจอ หรือยกเลิกนัดกะทันหัน ไม่ค่อยตอบข้อความทางมือถือ หรือเพื่อนร่วมงานไม่เป็นมิตรอย่างเคย ไม่ค่อยช่วยเหลือเหมือนปกติ ไม่ทุ่มเทกับงาน ไม่ตรงต่อเวลา ทำงานพลาด บางคนก็อาจอ่อนไหวเป็นพิเศษ เช่น ร้องไห้ง่ายเมื่อทำงานพลาดเล็กน้อย หรือฉุนเฉียวดุด่าคนอื่นทั้งที่ปกติไม่เป็น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็มีส่วนก่อให้เกิดปัญหาในความสัมพันธ์ตามมาได้ด้วย
บางคนยังอาศัยเดือนพฤษภาคมเป็นข้ออ้างในการจบความสัมพันธ์ที่ไร้อนาคตด้วย หลายคนทีเดียวที่เลิกกับแฟนหรือใคร่ครวญเรื่องความสัมพันธ์อย่างจริงจังในเดือนพฤษภาคม คนที่มักเลิกกับแฟนในเดือนพฤษภาคมคนหนึ่งบอกว่าเดือนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการเลิกกับใครสักคน เพราะมีข้ออ้างให้ใช้ได้เยอะแยะว่าทำไมไม่มีเวลาให้อีกฝ่าย บางคนถึงกับรอให้ถึงเดือนนี้เพื่อจะจบความสัมพันธ์เลยทีเดียว
"โรคเดือนพฤษภาคม" ไม่ได้เป็นชื่อเรียกทางการแพทย์ และที่จริงก็ไม่ใช่โรค แต่เป็นภาวะหนึ่งที่เกิดจากความเครียดและปัจจัยส่วนตัว ซึ่งมักมาจากการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ไม่ดีนัก และมีภาวะซึมเศร้า ซึ่งหากเป็นต่อเนื่องยาวนานก็จะกลายเป็นโรคซึมเศร้าได้เหมือนกัน
ทางยุโรปและอเมริกาไม่มีโรคเดือนพฤษภาคม เพราะไม่ได้เริ่มภาคเรียนกันตอนเดือนเมษายน แต่ไปเริ่มปลายเดือนสิงหาคม ในขณะที่เดือนพฤษภาคมเป็นช่วงปลายภาคเรียน และก็ไม่ได้เริ่มชีวิตการทำงานโดยพร้อมเพรียงกันในเดือนเมษายนแบบญี่ปุ่นด้วย พวกเขาจึงไม่ได้รู้สึกอะไรกับเดือนพฤษภาคม ดังนั้นหากคนญี่ปุ่นจะบอกคนต่างชาติว่าตัวเองมีอาการของโรคเดือนพฤษภาคม คนฟังก็จะงงว่าหมายถึงอะไร
ความอ่อนไหวต่อฤดูกาลของคนญี่ปุ่น
คนตะวันตกยังอาจไม่ได้อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนฤดูเท่ากับคนญี่ปุ่น คงเพราะญี่ปุ่นมีธรรมชาติรอบด้านแม้ในตัวเมือง จึงสังเกตเห็นสัญญาณที่บอกถึงการเปลี่ยนฤดูได้ง่าย เช่น ดอกบ๊วยที่บานในช่วงปลายฤดูหนาว ดอกซากุระที่บานในช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิ ดอกไฮเดรนเยียที่บานรับสายฝนก่อนเข้าฤดูร้อน เสียงจักจั่นที่ร้องระงมในฤดูร้อน ใบแปะก๊วยที่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองและใบเมเปิลที่เปลี่ยนเป็นสีแดงในฤดูใบไม้ร่วง เป็นต้น
เทศกาลหรือการเฉลิมฉลองประจำฤดูกาลก็ทำให้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลด้วยเช่นกัน ดังเช่น “เซ็ทสึบุง” ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันต้อนรับฤดูใบไม้ผลิตามปฏิทินโบราณของญี่ปุ่น โดยช่วงก่อนถึงวันก็จะเห็นร้านค้าพากันขายถั่วและหน้ากากหน้ายักษ์ รวมไปถึงข้าวห่อสาหร่าย “เอะโฮมากิ” ที่รับประทานเฉพาะในวันเซ็ทสึบุง (อ่านได้จาก : ไล่ยักษ์รับความสุขแบบญี่ปุ่น)
ส่วนฤดูร้อนก็มีหลายเทศกาล เช่น “ทานาบาตะ” ที่คนญี่ปุ่นจะเขียนคำอธิษฐานลงบนแผ่นกระดาษแล้วแขวนกับกิ่งไผ่ในวันที่ 7 กรกฎาคม หรือ “โอบ้ง” ซึ่งเป็นเทศกาลไหว้บรรพบุรุษที่คล้ายเชงเม้ง สารทจีน และสารทไทย (อ่านได้ที่ : "โอบ้ง" หรือ "เชงเม้งญี่ปุ่น" เป็นอย่างไรกันนะ?) รวมไปถึงเทศกาลดอกไม้ไฟในฤดูร้อนหลายแห่งทั่วประเทศตลอดเดือนสิงหาคม และยังมีเทศกาลประจำปีในแต่ละท้องถิ่นของญี่ปุ่นอีกมากมาย
ไม่เพียงแค่นั้น อาหารการกินก็บ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลที่เห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นลูกท้อ แตงโม มะเขือเทศ แตงกวาที่ออกในฤดูร้อน องุ่น ลูกพลับ มันหวาน เกาลัด ฟักทอง และปลาซัมมะในฤดูใบไม้ร่วง อาหารบางอย่างก็ขายเฉพาะฤดูกาล เช่น แกงกะหรี่มะเขือเทศในฤดูร้อน ไอศครีมรสฟักทองในฤดูใบไม้ร่วง มันเผาในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว เป็นต้น
ชีวิตของคนญี่ปุ่นนั้นมีความสัมพันธ์กับฤดูกาลอย่างแน่นแฟ้น และในทางเดียวกัน “เดือนพฤษภาคม” ก็อาจกระตุ้นให้คนญี่ปุ่นรู้สึกถึงช่วงเวลาแย่ ๆ ของปี ในทำนองเดียวกันกับเทศกาลประจำปีที่มีกำหนดแน่นอนก็เป็นได้
ระบบการทำงานแบบญี่ปุ่นที่เริ่มงานพร้อมกันและเปลี่ยนงานยาก
อย่างที่เกริ่นไว้ว่าในประเทศอื่น ๆ โดยส่วนใหญ่คงไม่ได้มีระบบรับเด็กจบใหม่เข้าทำงานพร้อมกันในเดือนเมษายนอย่างญี่ปุ่น จึงไม่ได้เกิดอาการโรคเดือนพฤษภาคม นอกจากนี้ในต่างประเทศหลายแห่งยังมีการเปลี่ยนงานกันเป็นเรื่องปกติ เมื่ออยู่ที่ใดแล้วไม่ถูกใจ ก็อาจย้ายไปทำงานในที่แห่งใหม่ได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิดต่อบริษัทเดิม อย่างในอเมริกานั้นการเปลี่ยนงานอาจหมายถึงความก้าวหน้าด้วยซ้ำ
แต่คนญี่ปุ่นนั้นทำงานที่ไหนแล้วไม่ชอบก็ต้องอดทน ไม่ค่อยเปลี่ยนงานเพื่อความก้าวหน้าในชีวิต แต่จะเลือกความมั่นคงในชีวิตจากการทำงานที่เดิมไปเรื่อย ๆ หรือต่อให้คิดย้ายงานก็อาจไม่ง่าย หากเป็นคนอายุน้อยที่เพิ่งทำงานได้ไม่เท่าไหร่ก็คิดจะเปลี่ยนงานแล้ว ก็มีสิทธิ์โดนมองในแง่ลบว่าประสบการณ์ก็ยังน้อย ทำงานไม่อดทน ไม่มีความภักดีต่อองค์กร
บางทีพอคนญี่ปุ่นเริ่มชีวิตทำงานในเดือนเมษายน แล้วเกิดไม่ถูกจริตกับสภาพแวดล้อมการทำงาน ก็อาจจะมองไปไกลถึงอนาคตว่าจะต้องทนอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปอีกหลายปี เลยพลอยจิตตก ท้อแท้ หมดหวังไปเสียก่อนหรือเปล่าก็ไม่ทราบนะคะ ยิ่งเป็นคนญี่ปุ่นที่อ่อนไหวง่าย กลัวคนอื่นจะมองไม่ดี และพยายามทำทุกอย่างไม่ให้ผิดพลาด ก็อาจจะยิ่งกดดันเป็นพิเศษก็ได้
อาการของคนตะวันตกที่คล้ายโรคเดือนพฤษภาคม
อย่างไรก็ตาม คนตะวันตกก็มีอาการคล้ายโรคเดือนพฤษภาคมของญี่ปุ่นอยู่เหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่สัมพันธ์กับดินฟ้าอากาศมากกว่า โดยเรียกว่าเป็น “Seasonal affective disorder (SAD)” หรือภาวะซึมเศร้าจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ซึ่งมักเกิดในช่วงฤดูหนาวที่กลางวันสั้นกว่ากลางคืน และอาการนี้จะหายไปเมื่อถึงฤดูร้อน แต่กลับมีบางคนเหมือนกันที่มีอาการนี้ในฤดูร้อนและหายเมื่อถึงฤดูหนาว
เดือนที่คนเป็นโรคนี้กันมากที่สุดคือเดือนมกราคม เรียกว่าเป็น “January blues” คาดว่าเป็นเพราะเกิดขึ้นหลังเดือนธันวาคมที่มีการเฉลิมฉลองคริสต์มาส ซึ่งช่วงเทศกาลนั้นคนจะยุ่งกับการหาของขวัญ เยี่ยมญาติ เที่ยวพักผ่อน พอหมดเทศกาลปุ๊บ ชีวิตก็กลับเข้าสู่วงจรปกติ คนก็เลยเกิดความเซ็งสุดขีด อีกอย่างคือเดือนธันวาคมถลุงเงินไปเยอะกับของขวัญและค่ากินเที่ยว พอเดือนมกราคมต้องใช้หนี้บัตรเครดิตเลยยิ่งหน้ามืด และบางคนก็อ้วนขึ้นจากการกินเยอะช่วงเทศกาล เลยรู้สึกแย่กับตัวเองอีก
ทำอย่างไรถ้าอยู่ในภาวะซึมเศร้าชั่วคราว
ทั้งโรคเดือนพฤษภาคมของญี่ปุ่น และภาวะซึมเศร้าจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลของตะวันตก ต่างก็เป็นอาการที่เกิดขึ้นชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วก็สามารถดีขึ้นได้เอง แต่หากเป็นต่อเนื่องยาวนานแล้วไม่ดีขึ้น ก็อาจต้องพึ่งจิตแพทย์เหมือนกัน
แพทย์ญี่ปุ่นยังแนะนำคนที่เกิดอาการโรคเดือนพฤษภาคมว่า ให้คอยสังเกตเวลาใจคิดเพ่งโทษตัวเองวนไปวนมาและให้หันมาเมตตาตัวเองบ้าง สร้างเสียงหัวเราะให้ตัวเอง หางานอดิเรกนอกเหนือจากงานทำ คุยกับคนที่ไว้ใจได้ ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ทำได้ ไม่ใช่กับสิ่งที่ทำไม่ได้ และไม่ตีกรอบให้ตัวเองว่า “ต้องอย่างงั้นต้องอย่างนี้เท่านั้น” แต่หันมาคิดใหม่ว่า “ได้เท่านี้ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว” เป็นต้น
โดยส่วนตัวแล้วฉันยังพบว่าดนตรีบางอย่างที่ใช้เปียโนและเครื่องสายอื่น ๆ บรรเลงช้า ๆ เบา ๆ ช่วยให้จิตใจสงบได้มากทีเดียว แถมยังทำให้มีสมาธิกับการทำงานด้วย และพอรู้ตัวอีกทีความเครียดกระเด็นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ถ้าเพื่อนผู้อ่านสนใจ ลองค้นหาคำว่า “peaceful music” หรือ “calm music” หรือ “relaxing music” จากยูทูป เลือกดนตรีแบบที่ตัวเองฟังแล้วรู้สึกสบายใจ แล้วเปิดคลอไประหว่างทำงาน หรือเวลาทำอะไรต่อมิอะไรในบ้านดู หรือจะเปิดกล่อมเวลานอนก็ช่วยให้หลับสบายขึ้นด้วยค่ะ ถ้าลองแล้วได้ผลดีก็อย่าลืมบอกต่อนะคะ :)
ขอให้เพื่อนผู้อ่านทุกท่านมีจิตใจแจ่มใสเบิกบานค่ะ.
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"ซาระซัง" เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์.