สวัสดีครับผม Mr.Leon มาแล้ว เพื่อนๆ สบายดีนะครับ เกี่ยวกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และมาตรการจำกัดเวลาการออกนอกเคหสถาน การกักตัวต่างๆ ที่อาจมีการขยายเวลาต่อไปอีก ซึ่งทุกคนก็คงรู้สึกว่าต้องอดทน และบางคนก็เริ่มคุ้นเคยกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ผมเองก็ชินและรับได้กับการอยู่ในห้องนะครับ เพราะว่าก่อนหน้านี้ผมก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหนสักเท่าไหร่ เวลาที่อยู่บ้านก็ได้อ่านข่าวนู้นนี่นั่นมากกว่าเดิม
วันก่อนอ่านข่าวเรื่อง "ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว Domestic Violence (DV)" คือกลายเป็นว่าตอนนี้เกิดประเด็นพูดคุยกันอย่างมากที่ญี่ปุ่นว่า เมื่อสามีไม่ได้ออกไปทำงานและต้องใช้เวลาอยู่ในบ้านกับภรรยามากขึ้นกลับไม่ใช่เรื่องดี ทำให้เกิดปัญหาครอบครัวขึ้นมาหลายๆ อย่าง และปัญหาความรุนแรงในครอบครัวก็ตามมา โดยเฉพาะสถานการณ์แบบนี้ที่บางบริษัทมีการลดเงินเดือน หรือบางสถานประกอบการก็ต้องปิดกิจการทำให้คนตกงานมากขึ้น ทำให้หลายๆ คนต้องกลายเป็นคนตกงานไป
ความรุนแรงในครอบครัว คือ การกระทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและการทำให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจ เช่น การทำร้ายร่างกายหรือทำร้ายสุขภาพจิตของคนในครอบครัว ได้แก่ คู่สมรส พ่อแม่ พี่น้อง ลูก เป็นต้น อาจจะด้วยพฤติกรรมบังคับข่มเหงให้กระทำการใดๆ ที่ไม่เป็นที่พึงพอใจ ส่งผลให้เกิดปัญหาภายในครอบครัว ทำให้เด็กๆ ขาดความอบอุ่น และเป็นปัจจัยนำไปสู่สภาพแวดล้อมที่ไม่ดี เช่น ส่งผลให้ติดการพนัน ทะเลาะวิวาท ติดสุรา ยาเสพติด และมีความเครียดทางเศรษฐกิจ เพื่อนคนไทยบอกผมว่าคนที่เกิดมาเป็นครอบครัวเดียวกัน มีความสัมพันธ์ระหว่างกัน เช่นเป็นพ่อแม่ลูกกันนี่เพราะเคยมีเวรมีกรรมหรือเคยมีความผูกพันธ์กันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ผมบอกว่าที่ญี่ปุ่นก็มีความเชื่อแบบนี้เหมือนกันนะ
ที่ญี่ปุ่นมีคำหนึ่ง คือ 縁 (en) ที่แปลประมาณว่า ● ความสัมพันธ์ที่ผูกพันกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน เป็นการเชื่อมความผูกพันธ์ฉันท์เครือญาติ ญาติพี่น้อง เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก ผู้ที่เป็นหนึ่งในโครงสร้างครอบครัวที่อยู่อาศัยร่วมกัน●หมายถึงชะตากรรม พลังลึกลับบางอย่างที่เชื่อมผู้คนให้มาพบเจอกัน หรือมีโอกาสที่จะทําความสัมพันธ์ให้เกิดขึ้นระหว่างกัน● ความสัมพันธ์ระหว่างคนรู้จัก เพื่อนร่วมงาน เพื่อนพ้องที่สนิทสนมกัน ฯลฯ●ในพระพุทธศาสนาแบบญี่ปุ่น หมายถึงการเชื่อมต่อและความเป็นมงคล
ดังนั้นเมื่อคนที่ต้องมาพบเจอกันและอยู่ร่วมเป็นครอบครัวเดียวกันก็ต้องใกล้ชิดกันกว่าคนนอก ซึ่งอาจจะมีการกระทบกระทั่งกันบ้างไม่มากก็น้อย กรณีที่บางครอบครัวมีปัญหาทางเศรษฐกิจร่วมด้วย เช่น เมื่อสามีตกงาน จึงยิ่งเป็นประเด็นทำให้มีความเดือดร้อนเรื่องชีวิตความเป็นอยู่และค่าใช้จ่าย เมื่อสามีภรรยาต้องมาอยู่ร่วมกันนานๆ เข้า ก็เกิดความอึดอัดรำคาญใจกัน และภรรยาก็เริ่มบ่นว่าสามีหลายอย่าง ตอนนี้ได้ข่าวว่าทั่วโลก ทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกาก็เกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัว Domestic Violence เช่นกัน คือทั่วโลกเกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มมากขึ้นอย่างน่ากังวล บางประเทศพบว่า ภายหลังจากการกักตัวช่วงเกิดโรคระบาดมีการอัตราการขอหย่าร้างมากขึ้นหลายเท่า
ที่ญี่ปุ่นเองก็มีข่าวเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน บางข่าวบอกว่าภรรยาด่าว่าฝ่ายชายว่าทำไมเงินเดือนน้อยลง เงินเดือนลดลงจะอยู่อย่างไร แล้วก็เกิดการทะเลาะและใช้ความรุนแรงต่อกัน บางข่าวก็บอกว่าแม่บ้านเองยังคงออกไปใช้ชีวิตอิสระตามปกติ เธอออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ สาวโดยทิ้งลูกสองคนไว้ที่บ้านกับสามีแต่สามีก็รู้สึกว่าทำไมเธอทำแบบนี้ในสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้เกิดกรณีความเครียดและความเบื่อหน่ายรำคาญกันหลายๆ เรื่อง ส่งผลให้เกิดความรุนแรงและคดีฟ้องร้องกันมากมาย แม่บ้านญี่ปุ่นนี่ก็ใช่เล่นนะครับบางคนข่มสามีได้เป็นข่ม ครั้งหนึ่งผมเดินทางกลับจากต่างจังหวัดเข้ากรุงเทพฯ โดยนั่งเครื่องบินในประเทศ ระหว่างที่รอขึ้นเครื่องอยู่นั้นก็เห็นครอบครัวคนญี่ปุ่นครอบครัวหนึ่ง เดินมาด้วยกันแบบมีรังสีอำมหิตแฝงอยู่ที่ใครสักคนหนึ่ง ขอเรียกเรื่องนี้ว่า "Orange juice"
ครอบครัวนี้มีสามีและภรรยา และลูกวัยอนุบาลอีก 2 คน ซึ่งสามีน่าจะเป็นพนักงานบริษัทญี่ปุ่นที่ย้ายมาประจำการที่เมืองไทย และมีคุณแม่ของฝ่ายภรรยามาด้วย ซึ่งน่าจะเดินทางมาจากญี่ปุ่นเพื่อเยี่ยมเยือนลูกหลานในช่วงวันหยุดยาว และทั้งหมดพากันมาเที่ยวที่จังหวัดที่ผมเจอพวกเขา ที่จริงผมก็ไม่ได้อยากฟังเรื่องที่พวกเขาพูดกันเท่าไหร่และไม่ได้อยากนำมาเล่า แต่บังเอิญได้ยินและจากที่สังเกตุพฤติกรรมฝ่ายภรรยาที่ค่อนข้างข่มสามีเหลือเกิน แสดงออกด้วยคําพูดและปฏิบัติด้วยความรู้สึกของการดูถูกสามี (เช่นพูดว่าเฮ้ยๆ, แกมานั่งลงตรงนี้เดี๋ยวนี้เลย (คือเธอมีเรื่องจะด่าว่าต่อ) , น้ำส้มฉันหมดแล้ว แกทำไมกินไม่แบ่งมาให้ฉันเลย แล้วฉันจะพอกินยังไง ) พูดเยอะจนผู้โดยสารคนอื่นที่นั่งรอที่ห้องรับรองเงียบกันหมด ฝ่ายชายก็จำยอมกันไป ซึ่งไม่น่าเชื่อในจุดนี้ การพูดจาต่างๆ ขนาดอยู่ในที่สาธารณะและต่อหน้าลูกๆ และแม่ของตัวเอง ฝ่ายสามีน่าสงสารมาก ต้องทำงานเลี้ยงครอบครัวแล้วยังเจอพฤติกรรมภรรยาแบบนี้อีก
ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนผมสามารถเข้าใจเขาได้ แต่ด้วยผมเป็นคู่แต่งงานที่อยู่กันสองคนกับภรรยาจึงค่อนข้างอิสระกว่า แต่ต่อหน้าแม่ของคู่สมรสและลูกๆ หลานๆ ผมไม่สามารถทำใจให้เชื่อว่าทําไมภรรยาเขาใช้ทัศนคติดังกล่าวกับสามีและเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะ ผมและบุคลากรอื่น ๆ ฟังยังรู้สึกโกรธ อย่างไรก็ตามเนื่องจากความรู้สึกว่าแม่ของฝ่ายภรรยาก็ไม่สนใจเลยก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่ในครอบครัวเขาก็ได้ เพราะเราคนนอก ไม่มีใครรู้ดีเรื่องของครอบครัวคนอื่น และก็ไม่ใช่เรื่องของเราด้วย
แต่ถ้าเป็นผม คงจะพิจารณาการหย่าร้างทันที โดยเฉพาะถ้าผมถูกพูดเช่นนี้ต่อหน้าพ่อแม่เขาอีก เหมือนครอบครัวก็สนับสนุนไปด้วย ในบริบทของประเทศญี่ปุ่น ถ้ามีการฟ้องร้องกันในกรณีนี้ฝ่ายภรรยาอาจจะอ้างว่า "สามีเธอต้องไปทำงานประจำการอยู่ต่างประเทศ ไม่ให้ความใส่ใจภรรยาเท่าที่ควร หรืออะไรก็ตาม " ซึ่งเธอก็จะได้รับการปกป้อง แต่เรื่องจริงอาจจะไม่ใช่อย่างที่คนใดคนหนึ่งกล่าวหาหรือแก้ต่างก็ได้ ถ้าศาลเชื่อเรื่องก็เปลี่ยนไป แต่ก็เข้าใจอยู่ เพราะเรื่องครอบครัวถือเป็นเรื่องภายใน และเรื่องส่วนตัว คนนอกไม่มีใครรู้ดีไปกว่าคนใน เรื่องนี้ที่ญี่ปุ่นเองก็ยังมีความซับซ้อนอยู่มาก
แต่ว่าผมไม่ได้ว่าฝ่ายหญิงว่าผิดฝ่ายเดียวนะครับ เพราะอย่างที่บอกว่าเราไม่สามารถรู้เรื่องภายในของครอบครัวคนอื่น แต่การที่ฝ่ายหญิงแสดงพฤติกรรมข่มเหงสามีในที่สาธารณะมันทำให้คนนอกมองแบบที่กล่าวไป ประกอบกับรู้ดีอยู่ว่าสังคมญี่ปุ่นและครอบครัวคนญี่ปุ่นเป็นอย่างไร จึงเข้าใจว่าคงจะเป็นปัญหาเช่นนี้เป็นปกติ และไม่ว่าต่อไปใครจะตัดสินใจอย่างไร ก็ขอให้โชคดีและอยากให้เลือกทางเลือกที่ไม่ทำให้ใครเสียใจ
นอกจากปัญหาความรุนแรงในครอบครัวแล้วก็ยังมีปัญหาอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในสังคมญี่ปุ่น เช่น เด็กมัธยมผู้หญิงตั้งท้องในวัยเรียน หรือเรื่องการติดแอลกอฮอล์(ภาวะการติดแอลกอฮอล์ หรือโรคพิษสุราเรื้อรังนั่นเอง) คนญี่ปุ่นที่เครียดในสภาวะสถานการณ์เช่นนี้จะมีความต้องการดื่มแอลกอฮอล์อย่างรุนแรงจนบางคนไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมการดื่มได้ แต่ว่าไปตอนนี้ผมเองก็อยากไปญี่ปุ่นเหมือนกันนะเนี่ยเพราะยังหาซื้อเครื่องดื่มได้อยู่ (´・ω・`) เดี๋ยวจะลงแดงเหมือนกันล่ะครับ :)
สําหรับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว (DV) ก่อนหน้านี้ทั้งฝ่ายตํารวจและศูนย์ราชการต่างๆ ไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่โตอะไร เทียบเท่ากับปัญหาแนว ストーカー stalker ก็ว่าได้ จะให้คู่สมรสได้พูดคุยทำความเข้าใจกันเอง ไม่ต้องถึงกับมาที่สถานีตำรวจ แต่ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ณ ปัจจุบันนี้มีกรณีร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมด้วยซึ่งเป็นปัญหาทางสังคมที่ไม่สามารถละเว้นได้
ดังนั้นทางที่ดีทุกฝ่ายต้องใจเย็นๆ นะครับ และทำความเข้าใจกัน เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจ สังคม การเมือง รวมไปถึงวิถีชีวิตของพวกเราเปลี่ยนไป และเมื่อโลกเปลี่ยนไป เราก็ต้องปรับตัว เพื่อความอยู่รอดอย่างสันติและมีความสุข ขอให้ทุกคนสู้ๆ และปลอดภัยครับ วันนี้สวัสดีครับ