สวัสดีครับผม Mr.Leon มาแล้ว ตอนนี้ก็ยังอยู่ในช่วงต้นปี เริ่มต้นปีใหม่ด้วยใจสุขสันต์กันนะครับ ที่จริงแล้วผมคิดมาตั้งแต่ปีที่แล้วว่าเริ่มต้นปีก็อยากจะเล่าอะไรที่สนุกๆ ไม่อยากเขียนเรื่องหนักๆ ปีนี้อยากจะเขียนเรื่องเบาๆ บ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้เขียนเรื่องเบาๆ ได้ตลอดไปหรือเปล่านะครับเนี่ย ที่ญี่ปุ่นเริ่มศักราชใหม่ของยุค 令和 Reiwa (รัชศกเรวะ) ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 เรียกว่าเป็นปี Reiwa ที่ 1 ตอนแรกคนญี่ปุ่นคิดว่าเมื่อเริ่มเข้าสู่ปีเรวะแล้ว น่าจะมีความรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นสดชื่นขึ้น เบาขึ้นหรือเปล่านะทุกคนคิดแบบนี้ แต่ว่าเมื่อตรองดูเรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เข้าสู่ยุคเรวะเป็นต้นมา จนถึงตอนนี้ก็มีแต่เรื่องหนักๆ ทั้งนั้นเลย
ช่วงวันหยุดปีใหม่ที่ผ่านมาผมไปเป็นเพื่อนเพื่อนหัดขับรถเกียร์ธรรมดา เป็นรถกระบะแบบเกียร์ธรรมดาซึ่งเขายังขับรถเกียร์ธรรมดาไม่เป็น เรียกว่ามือใหม่หัดขับ แม้ว่าจะขับทรงตัวได้แต่เวลาเปลี่ยนเกียร์ จังหวะเลี้ยว ถอย จอดรถจะกระตุกและดับอยู่ตลอด เพราะว่ายังไม่คล่องนะครับ คนสอนบอกว่าจะขับรถยนต์แบบเกียร์ธรรมดาให้คล่องต้องฝึกจนคุ้นเคยอาจต้องใช้เวลาสักพักเพื่อให้ชินและคุ้นเคยกับมัน ผมถามเพื่อนว่าที่ญี่ปุ่นผมมีแต่ใบอนุญาตขับรถสำหรับรถเกียร์อัตโนมัติเท่านั้น แต่ผมเอามาเปลี่ยนและสอบที่ไทย ได้เป็นใบขับขี่ไทยแล้ว ใบอนุญาตขับรถที่เป็นใบขับขี่ไทยของผมยังใช้ได้แค่รถประเภทเกียร์อัตโนมัติเหมือนเดิมหรือเปล่า เพื่อนผมก็งง บอกว่าก็ใบขับขี่ก็ขับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลได้หมดนะที่ไทยไม่ได้แยกว่าเฉพาะเกียร์อัตโนมัติหรือเฉพาะเกียร์ธรรมดา ที่ญี่ปุ่นแยกด้วยเหรอ ใช่แล้วครับ ที่ญี่ปุ่นแยกประเภทใบอนุญาตขับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเป็นแบบสำหรับขับรถเกียร์ธรรมดา และสำหรับขับรถเกียร์อัตโนมัติล่ะครับ
พอรู้ว่าที่เมืองไทยไม่ได้มีแบ่งประเภทใบอนุญาตขับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแบบสำหรับรถเกียร์ธรรมดา และสำหรับรถเกียร์อัตโนมัติ ผมก็เลยรู้สึกว่าถ้าใครจะไปญี่ปุ่นแล้วต้องขับรถ ยังไงต้องสอบใบขับขี่ที่เมืองไทยแล้วทำใบขับขี่สากลไปจะดีที่สุด เพราะที่ญี่ปุ่นสอบใบขับขี่ยากมาก แพงด้วย ซึ่งผมคิดว่าการทดสอบใบอนุญาตขับรถยนต์เนี่ยมันก็จะมีจุดที่เข้มงวดต่างกัน ที่ไทยอาจจะมีบางเรื่องที่เข้มงวดมากกว่าญี่ปุ่นแล้วก็ที่ญี่ปุ่นก็จะมีบางเรื่องที่อาจจะเข้มงวดมากกว่าที่เมืองไทย
ใบอนุญาตขับรถยนต์แบบอัตโนมัติ หรือ ( AT ) จะถูกจำกัดให้ขับขี่รถยนต์ขนาดกลางในประเทศญี่ปุ่น การฝึกอบรมขับรถยนต์ตามหลักสูตรของโรงเรียนสอนขับรถในญี่ปุ่นสำหรับผู้ที่ต้องการได้รับใบอนุญาตแบบอัตโนมัติ ( AT) มีคำนิยามว่า "ประเภทรถที่ใช้ได้จะถูกจำกัดอยู่ที่รถเกียร์อัตโนมัติเท่านั้น" คำว่า "ยานพาหนะ" สำหรับกรณีนี้ตามที่อ้างถึงในพระราชบัญญัติจราจร คือยานพาหนะที่ไม่ได้มีการเหยียบคลัทช์ สำหรับยานพาหนะ ยกเว้นสองล้อและคันโยกคลัทช์สำหรับรถจักรยานยนต์
ถ้าถามว่าควรทำใบขับขี่แบบไหนดีระหว่างประเภทเกียร์ธรรมดา ( MT🕹) ที่จะต้องมีเรื่องการเหยียบคลัทช์ที่นอกเหนือไปจากการเร่งและเบรก เวลาที่ต้องเปลี่ยนเกียร์ด้วยมือโยกและมีการเหยียบคลัทช์ จะเป็นเรื่องยากมากขึ้นกว่ารถแบบเกียร์อัตโนมัติ หรือเลือกประเภทเกียร์อัตโนมัติ ( AT👡 ) ดีกว่า? ใบขับขี่ทั้งสองแบบดังกล่าวมีคุณสมบัติเพื่อขับรถได้ดังนี้
☆MT=MT車+AT車 : ถ้าคนที่มีใบอนุญาตขับรถแบบเกียร์ธรรมดานั้น จะสามารถขับรถได้ทั้งรถแบบเกียร์ธรรมดาและรถแบบเกียร์อัตโนมัติ
☆AT = AT車限定 :ถ้าคนที่มีใบอนุญาตขับรถแบบเกียร์อัตโนมัติ จะขับได้เฉพาะรถแบบเกียร์อัตโนมัติเท่านั้น ไม่สามารถขับรถเกียร์ธรรมดาได้
ในขณะที่ตลาดรถยนต์ส่วนบุคคลในญี่ปุ่นมากกว่า 90% เป็นรถแบบเกียร์อัตโนมัติ แต่จากผลสำรวจปี 2018 ข้อมูลจากโรงเรียนขับรถทั่วประเทศ ระบุอัตราของผู้ที่มีใบอนุญาตขับรถยนต์แบบเกียร์ธรรมดา และแบบเกียร์อัตโนมัติ ว่ามีจำนวนของผู้ที่ได้รับใบอนุญาตขับรถแบบเกียร์ธรรมดา MT และแบบเกียร์อัตโนมัติ AT เป็นดังนี้
*ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตขับรถแบบเกียร์ธรรมดา MT ... (39.3%)
*ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตขับรถแบบเกียร์อัตโนมัติ AT ... (60.7%)
อย่างที่บอกไปว่าส่วนใหญ่ตอนนี้รถยนต์ส่วนบุคคลที่ญี่ปุ่นจะเป็นระบบอัตโนมัติมากกว่า 90% และคนส่วนใหญ่ถือใบอนุญาตขับรถแบบเกียร์อัตโนมัติ แต่กลายเป็นว่าสำหรับผู้ชายญี่ปุ่นถ้าไม่มีใบขับขี่แบบเกียร์ธรรมดา( MT ) ก็ดูจะเป็นเรื่องที่น่าอายอยู่สักนิดหน่อย แม้สาวๆ จะบอกหนุ่มคนนั้นว่าไม่เป็นไร ยิ่งบอกว่าไม่เป็นไรยิ่งน่าอายครับ เพราะเธอไม่ได้คิดแบบที่พูดออกมา ความแตกต่างของใบขับขี่ทั้งสองแบบแยกกันชัดเจนตั้งแต่การเรียนที่โรงเรียนสอนขับรถ หรือการสอบ การขับปฏิบัติจริงต่างๆ ก็ดำเนินการกันระหว่างแบบเกียร์ธรรมดาซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายในการเรียนสูงกว่าแบบเกียร์อัตโนมัติ แต่ถึงแม้ว่าแบบเกียร์ธรรมดาจะแพงกว่าแต่สามารถที่จะขับรถได้ทั้งประเภทเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ ผู้ที่สอบแบบเกียร์อัตโนมัติตั้งแต่แรกจะไม่สามารถไปขับรถที่เป็นเกียร์ธรรมดาได้
ส่วนเรื่องการสอบใบขับขี่ที่ญี่ปุ่นนั้น ไม่ใช่ว่าอยู่ๆจะหัดขับรถให้เป็นเองหรือให้คนที่บ้านสอนแล้วไปสอบได้เลย ทุกคนต้องไปเรียนขับรถด้วย มีความจำเป็นต้องผ่านการประเมินจากโรงเรียนและได้รับตราประทับรับรองจากโรงเรียนสอนขับรถยนต์ ซึ่งในแต่ละจังหวัดของประเทศญี่ปุ่น จะมีศูนย์ทดสอบเป็นของตัวเอง สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดนั้นๆ คืออย่างไรก็ตามต้องไปเรียนขับรถและเก็บเกี่ยวชั่วโมงให้ครบตามกฏหมายกำหนด วิธีการเรียนเพื่อสอบใบอนุญาตขับรถยนต์ของประเทศญี่ปุ่นมีให้เลือกสำหรับคนที่มีเวลาเยอะหน่อยกับคนที่ไม่มีเวลา คือเรียนที่โรงเรียนที่ได้รับอนุญาตและไปสอบด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเลือกวิธีไหนก็ส่วนใหญ่จะใช้เวลาเยอะและใช้เงินค่าใช้จ่ายค่อนข้างเยอะ สำหรับคนที่มีเวลาเยอะหน่อยก็อาจจะไปเรียนเต็มเวลาที่โรงเรียนสอนขับรถเลยทั้งวัน ใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์ เพื่อที่จะไปเรียนขับรถร่วมกับผู้สอนซึ่งจะต้องเรียนทฤษฏีและขับเกือบทั้งวัน รวมเป็นเวลา 7- 8 ชั่วโมง
หรือสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา คนที่เรียนหรือทำงาน อาจจะใช้เวลาว่างที่สะดวกนัดหมายกับโรงเรียนสอนขับรถเพื่อไปเรียนเก็บชั่วโมง อาจจะวันละ 2 ชั่วโมง ก็ใช้เวลาเกือบครึ่งปีกว่าจะครบหลักสูตร นี่ยังไม่รวมการสอบและการทดสอบขับรถจริง คือสรุปแล้วกว่าจะได้รับใบอนุญาตอาจจะใช้เงินมากกว่าคอร์สละ 300,000 เยน (หรือประมาณหนึ่งแสนบาท) แถมถ้าได้ตรารับรองว่าผ่านการเรียนจากโรงเรียนแล้วต้องไปสอบให้ผ่านภายในหนึ่งปี ถ้ายังสอบไม่ผ่านเกินหนึ่งปีแล้ว ก็ถือว่าตรารับรองนั้นหมดอายุต้องเริ่มเรียนใหม่ เสียเงินเสียเวลาอีก คิดว่าเป็นการจ่ายเงินแบบไม่คุ้มค่าที่สุด เหมือนกับเป็นการเอื้อประโยชน์ให้โรงเรียนด้วยในแง่การทำธุรกิจ แต่ปัจจุบันธุรกิจโรงเรียนสอนขับรถลดลงไปมาก เนื่องจากคนวัยหนุ่มสาวมีน้อยลง และไม่อยากขับรถของตัวเองจึงไม่ทำใบขับขี่
สรุปว่าการทำใบอนุญาตขับรถยนต์ของญี่ปุ่นนั้นใช้เวลาและใช้ค่าใช้จ่ายเยอะมาก การสอบก็ยากมาก ส่วนจะทำแบบไหนต้องแล้วแต่ผู้ใช้งาน แต่ถ้าจะไปเที่ยวแล้วต้องการขับรถเองก็อย่าลืมทำใบขับขี่ไปจากเมืองไทยนะครับ วันนี้สวัสดีครับ