บทประพันธ์ของ คิคุฉิ คัน* (ค.ศ.1888-1948)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
ตอนที่ 9
1
รุริโกะตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นปึกธนบัตรใบละร้อยเยนสีม่วงอ่อนที่อัดแน่นอยู่ในกระเป๋าเงินของบิดา ความจริงด้วยความเยาว์วัยเธอน่าจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจที่บิดาหาเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้มาได้ในนาทีสุดท้าย แต่ทันทีที่เห็นปึกธนบัตรเธอกลับหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนมีน้ำซึมเอ่อล้นขึ้นมาแทบจะท่วมอก
รุริโกะยืนนิ่งเงียบ จับตาไปที่ปึกธนบัตรที่บิดาหยิบออกมาจากกระเป๋า มองมันเหมือนกับเป็นอะไรสักอย่างที่น่าเกลียดน่ากลัว
พอท่านบิดาของรุริโกะเข้าไปในห้องรับแขก ชายจมูกงุ้มเหมือนนกเหยี่ยวก็ก้มหัวลงต่ำราวกับผู้ที่เขาทำความเคารพเป็นเจ้านายที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่
“ใต้เท้านี่เองที่เป็นเจ้านายผู้สูงศักดิ์ กระผมชื่อยะโนะ เป็นตัวแทนของนายโชดะขอรับ วันนี้กระผมได้รับคำสั่งให้มากราบเรียนท่านว่านายของกระผมกำลังจำเป็นต้องใช้เงินนิดหน่อย จึงต้องมาเรียนขอให้ใต้เท้ากรุณาชำระหนี้ตามกำหนด”
ท่านบิดาไม่ใส่ใจแม้แต่จะตอบคำทักทายที่ฟุ่มเฟือยไปด้วยคำสุภาพระคายหู ท่านคะระซะวะตีหน้าขรึม สั่งสั้น ๆ ด้วยเสียงคมกริบว่า
“เอาหนังสือสัญญาออกมาซิ”
“ขอรับ ได้ขอรับ”
ชายคนทวงหนี้ทำลุกลี้ลุกลน เปิดกระเป๋าหยิบเอกสารออกมาสามแผ่น ลูกหนี้ผู้สูงศักดิ์อ่านข้อความบนกระดาษทั้งสามแผ่นนั้นอย่างพินิจพิจารณาจนจบ แล้วเอื้อมมือขวาไปขยุ้มปึกธนบัตรเสือกไปตรงหน้าฝ่ายตรงข้าม
เมื่อเจอกับความผยองของท่านผู้สูงศักดิ์เข้าเช่นนั้น อีกฝ่ายถึงกับลุกลี้ลุกลนทำอะไรแทบไม่ถูก แต่ก็หยิบปึกเงินขึ้นมานับทีละใบทีละใบอย่างคนรู้หน้าที่
“จำคำที่ฉันจะพูดต่อไปนี้เอาไว้ให้ดี แล้วไปบอกนายโชดะให้ครบถ้วนทุกคำอย่าให้ตกหล่นว่า คะระซะวะคนนี้จนทรัพย์ คฤหาสน์ติดจำนอง แต่ไม่ยอมก้มหัวหรือน้อมตัวคำนับเงิน ถึงจะเอาอำนาจเงินทั่วทั้งประเทศญี่ปุ่นนี้มากดดัน หัวที่ควรต้องสั่นปฏิเสธนั้นจะไม่มีวันผงกให้ใครเป็นอันขาด...จำใส่หัวสมองเอาไว้ให้ดี แล้วไปบอกนายโชดะให้ครบถ้วนทีเดียวว่า หนี้สินห้าหมื่นหรือเป็นแสน ฉันก็พร้อมชำระให้ทันกำหนด เมื่อไรก็เมื่อนั้น”
ท่านคะระซะวะพูดด้วยเสียงห้วนห้าววางอำนาจราวกับกำลังดุด่าหมาแมว ส่วนนายหน้าทวงหนี้จมูกงุ้มเหมือนนกเหยี่ยวดูท่าทางไม่ยี่หระแม้จะถูกเหยียดหยามด้วยวาจาเพียงไร ดูเหมือนจะดีใจที่ได้ทำหน้าที่เป็นหนังหน้าไฟเช่นนั้นสำเร็จลุล่วงได้เงินใช้หน้าเป็นกอบเป็นกำ จึงตอบรับคำอย่างสุภาพเกินพอขึ้นไปอีก
“ขอรับ ขอรับ กระผมขอน้อมรับทุกคำพูดของใต้เท้าไปแจ้งให้นายของกระผมทราบ อันที่จริงกระผมก็ไม่อยากพูดอะไรออกมาตรง ๆ นะขอรับ คือคนที่เขาเรียกกันว่าเศรษฐีที่เพิ่งตั้งตัวร่ำรวยขึ้นมาใหม่สมัยนี้ ส่วนใหญ่ก็ดีแต่มีเงินมีทองเท่านั้นแต่นิสัยใจคอหยาบกระด้างไม่มีสง่าราศรีเอาเสียเลยละขอรับ นายของกระผมก็เช่นกัน บางครั้งก็ทำอะไรแย่ ๆ ขนาดพวกคนรับใช้อย่างกระผมที่ต้องฝืนใจทำตามคำสั่งยังพลอยละอายใจอยู่เนือง ๆ ก็สมแล้วขอรับที่ใต้เท้าจะโกรธเคือง ไม่ไหวจริง ๆ กระผมจะนำคำของใต้เท้าไปแจ้งให้ครบถ้วนเผื่อว่าจะได้สำนึกตนเองเสียบ้าง เอาละขอรับ วันนี้เสร็จธุระของกระผมแล้วเห็นจะต้องกราบลาใต้เท้าเสียที”
นายหน้าทวงหนี้ของนายโชดะ กลบเกลื่อนความเกรงขามศัตรูด้วยคำพูดหรู ๆ เท่าที่จะสรรหามาได้เฉพาะหน้า เหมือนปลาหมึกที่พ่นหมึกใส่ศัตรูก่อนเตลิดหนีไป
ในที่สุด ท่านบิดาของรุริโกะก็เอาตัวรอดจากการจู่โจมครั้งแรกของปีศาจร้ายไปได้อย่างเฉียดฉิวไปงวดหนึ่ง ยังมีเวลาอีกครึ่งปีกว่าจะงวดหน้า ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นนายฮนดะเพื่อนสนิทก็จะกลับมา คิดมาถึงตรงนี้ รุริโกะน่าจะโล่งอก แต่สำหรับเธอนั้นเมื่อความกังวลระลอกหนึ่งผ่านไปความหวาดกังวลที่ยิ่งไปกว่านั้นก็แทรกเข้ามาแทนที่ทันทีนั้นเอง
พอนายหน้าทวงหนี้ลับหลังไป ท่านคะระซะวะก็ลงมือลงบนไหล่ลูกสาว ปลอบด้วยเสียงอ่อนโยนว่า
“รุริ พ่อขอโทษที่ทำให้หนูลำบากไปด้วย ต่อจากนี้ไปไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว สบายใจได้แล้วนะ”
แต่ไม่ได้ช่วยให้รุริโกะคลายใจแม้แต่นิดเดียว คำถามที่เต็มไปด้วยความกังวลและสงสัยที่ว่า
“ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านพ่อไปเอาเงินมากมายอย่างนั้นมาจากไหน”
หยุดสะดุดอยู่แค่ลำคอ ดีที่เจ้าตัวยั้งเอาไว้ได้ทัน
2
ภาวะวิกฤติของครอบครัวคะระซะวะผ่านพ้นไปอย่างเฉียดฉิวในวันสุดท้ายของเดือนมิถุนายน ย่างเข้าเดือนกรกฎาคมแล้วแต่ความหวั่นใจของรุริโกะที่มีต่อเงินก้อนใหญ่กว่าสามหมื่นเยนที่เข้ามาอยู่ในกระเป๋าของบิดาทันเส้นตายอย่างน่าอัศจรรย์นั้น ใช่ว่าจะจางลงง่าย ๆ
จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงกลางเดือนกรกฎาคม ดอกแพรเซียงไฮ้กลีบบางเบาหลากสีที่รุริโกะชอบก็บานสะพรั่งอยู่บนพื้นทรายขาวละเอียด สลับสีแดงจัด ขาว และเหลือง เป็นความงามเพียงอย่างเดียวที่ช่วยแต่งแต้มสวนที่รกร้างยามฤดูร้อนให้ดูสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง
เมื่อเวลาผ่านไป รุริโกะนึกถึงชายที่ชื่อโชดะน้อยครั้งลงตามลำดับ ส่วนหน้าของนายหน้าทวงหนี้จมูกงุ้มเหมือนนกเหยี่ยวนั้นเธอเลิกนึกถึงไปนานแล้ว เด็กสาวได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งความทุกข์ใจที่เกิดจากเหตุการณ์ทั้งหมดจะเลือนหายไปเหมือนฝันร้าย
รุริโกะคิดผิดเสียแล้ว เพราะธนูอาบยาพิษดอกสุดท้ายที่ปีศาจร้ายยิงออกจากแล่งนั้นกำลังพุ่งเข้าสู่เป้า
ปลายเดือนกรกฏาคมนั้นเอง จู่ ๆ พลตำรวจเอก T เจ้ากรมตำรวจก็แจ้งมาว่ามีธุระด่วนที่ต้องคุยท่านพ่อของรุริโกะ ผู้ใหญ่สองท่านนี้ไม่ได้คบหากันเป็นส่วนตัว เคยพบหน้ากันสองสามครั้งในการประชุมเท่านั้น ตอนที่ท่านคะระซะวะยังมีบทบาทอยู่ในคณะรัฐมนตรีดูเหมือนออกจะดูแคลนท่านผู้นี้หน่อย ๆ ด้วยซ้ำ
“ธุระอะไรกันนะ”
บิดาพึมพำพลางเอียงคอด้วยท่าทางแคลงใจ ส่วนรุริโอะนั้นแค่ได้ยินคำว่าเจ้ากรมตำรวจก็ใจหายเสียแล้ว
ท่านคะระซะวะดูเหมือนจะรู้นัยบางอย่างของคำเชิญนั้นเพราะเห็นแต่งตัวออกไปอย่างไม่แสดงว่าหวั่นใจอะไรสักนิด ไม่เหมือนรุริโกะที่ใจเต้นระทึกไม่หยุดหลังยืนส่งบิดาออกจากบ้านไปตามธรรมเนียมปฎิบัติ
บิดากลับมาภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง รุริโกะที่คอยอยู่ด้วยความกระวนกระวานจึงค่อยโล่งใจรีบถลาออกไปรับที่หน้าประตูเรือน
แต่พอเห็นหน้าบิดาเพียงแวบเดียวเด็กสาวก็ยืนตะลึงใจหายวูบ รู้ทันทีว่ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นแน่นอน ท่านพ่อของเธอหน้าซีดขาวแทบไม่มีสีเลือด ดวงตาเท่านั้นที่ยังสุกใส...แต่ไม่ใช่ซิ เป็นดวงตาของคนใกล้เสียสติต่างหาก เพราะมันเหม่อลอยสิ้นพลัง
“ท่านพ่อกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงทักของรุริโกะพลอยแหบพร่า ติดอยู่ในลำคอ
และพอรุริโกะเงยหน้าขึ้นมอง ท่านพ่อของเธอก็เดินดุ่ม ๆ ขึ้นบันไดไปชั้นบนเหมือนละอายที่จะสบตาด้วย
อกใจของรุริโกะห่อเหี่ยวมืดดำเมื่อเห็นสีหน้าท่าทีอันหม่นหมองของบิดา เธอเดินตามขึ้นไปติด ๆ หวังจะช่วยปลอบโยน
แต่บิดานั้น พอเข้าห้องส่วนตัวของตนได้ก็ไม่หันมามองลูกสาวที่เดินตามขึ้นมาเลย
“รุริ ปล่อยให้พ่ออยู่คนเดียวสักพักหนึ่งเถิด”
เสียงพูดของพ่อไม่ใช่เสียงสั่ง แต่เป็นคำอ้อนวอนแหบโดยของคนที่ไร้พลังอำนาจอย่างสิ้นเชิง
เมื่อสิ้นคำ รุริเห็นน้ำตาเอ่อขึ้นมาเต็มสองตาของบิดา
น้ำตาของบิดา...ตั้งแต่เกิดจนอายุสิบแปดรุริโกะเห็นครั้งแรกน้ำตาของบิดาครั้งแรกและครั้งเดียวเมื่อตอนที่พูดกับมารดาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเสียชีวิต
เมื่อบิดาบอกเช่นนั้น รุริโกะก็ไม่เซ้าซี้ร่ำไร จึงเดินกลับไปห้องส่วนตัวด้วยใจกังวล ราวกับมีใครเอาหมึกดำมาราดท่วมทั้งหัวอกหัวใจ
พอรุริโกะขึ้นไปเรียกให้ลงมารับประทานอาหารเย็น บิดาก็บอกว่า “ไม่อยากกิน” แล้วก็เงียบอยู่ในห้องนั่งเล่นส่วนตัว ตั้งแต่บ่ายสี่โมงจนถึงราวสี่ทุ่ม ไม่ใครได้ยินเสียงดังมาจากห้องนั้นสักแก๊กเดียว
ตามปกติพอสี่ทุ่มบิดาจะเขาห้องนอน วันนั้นพอนาฬิกาตีบอกเวลาสี่ทุ่มรุริโกะก็ขึ้นไปชั้นบน เคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปพลางบอกว่า
“สี่ทุ่มแล้ว ได้เวลาเข้านอนเจ้าค่ะ”
บิดานั่งนิ่ง พูดเสียงต่ำลึกโดยไม่หันมามองว่า
“พ่อจะตื่นอยู่อีกสักพัก รุริ...หนูนอนก่อนเถิด”
รุริโกะเป็นห่วงบิดาเหลือเกิน อย่าว่าแต่ให้กลับไปห้องส่วนตัวเลย แค่จะเดินจากไปปล่อยให้บิดาอยู่คนเดียวก็ยังทำได้ยาก เด็กสาวเดินลงบันไดมาได้ครึ่งหนึ่ง ก็เกิดสังหรณ์ใจขึ้นมาจนไม่อาจก้าวต่อไปได้ จึงย่องกลับขึ้นไปอีกครั้ง เธอยืนพิงผนังระเบียงมืด ๆ ระหว่างทางไปยังห้องชุดส่วนตัวของบิดาระวังเหตุอยู่ ไม่อาจทิ้งให้อยู่ตามลำพังได้
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
ตอนที่ 9
1
รุริโกะตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นปึกธนบัตรใบละร้อยเยนสีม่วงอ่อนที่อัดแน่นอยู่ในกระเป๋าเงินของบิดา ความจริงด้วยความเยาว์วัยเธอน่าจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจที่บิดาหาเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้มาได้ในนาทีสุดท้าย แต่ทันทีที่เห็นปึกธนบัตรเธอกลับหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนมีน้ำซึมเอ่อล้นขึ้นมาแทบจะท่วมอก
รุริโกะยืนนิ่งเงียบ จับตาไปที่ปึกธนบัตรที่บิดาหยิบออกมาจากกระเป๋า มองมันเหมือนกับเป็นอะไรสักอย่างที่น่าเกลียดน่ากลัว
พอท่านบิดาของรุริโกะเข้าไปในห้องรับแขก ชายจมูกงุ้มเหมือนนกเหยี่ยวก็ก้มหัวลงต่ำราวกับผู้ที่เขาทำความเคารพเป็นเจ้านายที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่
“ใต้เท้านี่เองที่เป็นเจ้านายผู้สูงศักดิ์ กระผมชื่อยะโนะ เป็นตัวแทนของนายโชดะขอรับ วันนี้กระผมได้รับคำสั่งให้มากราบเรียนท่านว่านายของกระผมกำลังจำเป็นต้องใช้เงินนิดหน่อย จึงต้องมาเรียนขอให้ใต้เท้ากรุณาชำระหนี้ตามกำหนด”
ท่านบิดาไม่ใส่ใจแม้แต่จะตอบคำทักทายที่ฟุ่มเฟือยไปด้วยคำสุภาพระคายหู ท่านคะระซะวะตีหน้าขรึม สั่งสั้น ๆ ด้วยเสียงคมกริบว่า
“เอาหนังสือสัญญาออกมาซิ”
“ขอรับ ได้ขอรับ”
ชายคนทวงหนี้ทำลุกลี้ลุกลน เปิดกระเป๋าหยิบเอกสารออกมาสามแผ่น ลูกหนี้ผู้สูงศักดิ์อ่านข้อความบนกระดาษทั้งสามแผ่นนั้นอย่างพินิจพิจารณาจนจบ แล้วเอื้อมมือขวาไปขยุ้มปึกธนบัตรเสือกไปตรงหน้าฝ่ายตรงข้าม
เมื่อเจอกับความผยองของท่านผู้สูงศักดิ์เข้าเช่นนั้น อีกฝ่ายถึงกับลุกลี้ลุกลนทำอะไรแทบไม่ถูก แต่ก็หยิบปึกเงินขึ้นมานับทีละใบทีละใบอย่างคนรู้หน้าที่
“จำคำที่ฉันจะพูดต่อไปนี้เอาไว้ให้ดี แล้วไปบอกนายโชดะให้ครบถ้วนทุกคำอย่าให้ตกหล่นว่า คะระซะวะคนนี้จนทรัพย์ คฤหาสน์ติดจำนอง แต่ไม่ยอมก้มหัวหรือน้อมตัวคำนับเงิน ถึงจะเอาอำนาจเงินทั่วทั้งประเทศญี่ปุ่นนี้มากดดัน หัวที่ควรต้องสั่นปฏิเสธนั้นจะไม่มีวันผงกให้ใครเป็นอันขาด...จำใส่หัวสมองเอาไว้ให้ดี แล้วไปบอกนายโชดะให้ครบถ้วนทีเดียวว่า หนี้สินห้าหมื่นหรือเป็นแสน ฉันก็พร้อมชำระให้ทันกำหนด เมื่อไรก็เมื่อนั้น”
ท่านคะระซะวะพูดด้วยเสียงห้วนห้าววางอำนาจราวกับกำลังดุด่าหมาแมว ส่วนนายหน้าทวงหนี้จมูกงุ้มเหมือนนกเหยี่ยวดูท่าทางไม่ยี่หระแม้จะถูกเหยียดหยามด้วยวาจาเพียงไร ดูเหมือนจะดีใจที่ได้ทำหน้าที่เป็นหนังหน้าไฟเช่นนั้นสำเร็จลุล่วงได้เงินใช้หน้าเป็นกอบเป็นกำ จึงตอบรับคำอย่างสุภาพเกินพอขึ้นไปอีก
“ขอรับ ขอรับ กระผมขอน้อมรับทุกคำพูดของใต้เท้าไปแจ้งให้นายของกระผมทราบ อันที่จริงกระผมก็ไม่อยากพูดอะไรออกมาตรง ๆ นะขอรับ คือคนที่เขาเรียกกันว่าเศรษฐีที่เพิ่งตั้งตัวร่ำรวยขึ้นมาใหม่สมัยนี้ ส่วนใหญ่ก็ดีแต่มีเงินมีทองเท่านั้นแต่นิสัยใจคอหยาบกระด้างไม่มีสง่าราศรีเอาเสียเลยละขอรับ นายของกระผมก็เช่นกัน บางครั้งก็ทำอะไรแย่ ๆ ขนาดพวกคนรับใช้อย่างกระผมที่ต้องฝืนใจทำตามคำสั่งยังพลอยละอายใจอยู่เนือง ๆ ก็สมแล้วขอรับที่ใต้เท้าจะโกรธเคือง ไม่ไหวจริง ๆ กระผมจะนำคำของใต้เท้าไปแจ้งให้ครบถ้วนเผื่อว่าจะได้สำนึกตนเองเสียบ้าง เอาละขอรับ วันนี้เสร็จธุระของกระผมแล้วเห็นจะต้องกราบลาใต้เท้าเสียที”
นายหน้าทวงหนี้ของนายโชดะ กลบเกลื่อนความเกรงขามศัตรูด้วยคำพูดหรู ๆ เท่าที่จะสรรหามาได้เฉพาะหน้า เหมือนปลาหมึกที่พ่นหมึกใส่ศัตรูก่อนเตลิดหนีไป
ในที่สุด ท่านบิดาของรุริโกะก็เอาตัวรอดจากการจู่โจมครั้งแรกของปีศาจร้ายไปได้อย่างเฉียดฉิวไปงวดหนึ่ง ยังมีเวลาอีกครึ่งปีกว่าจะงวดหน้า ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นนายฮนดะเพื่อนสนิทก็จะกลับมา คิดมาถึงตรงนี้ รุริโกะน่าจะโล่งอก แต่สำหรับเธอนั้นเมื่อความกังวลระลอกหนึ่งผ่านไปความหวาดกังวลที่ยิ่งไปกว่านั้นก็แทรกเข้ามาแทนที่ทันทีนั้นเอง
พอนายหน้าทวงหนี้ลับหลังไป ท่านคะระซะวะก็ลงมือลงบนไหล่ลูกสาว ปลอบด้วยเสียงอ่อนโยนว่า
“รุริ พ่อขอโทษที่ทำให้หนูลำบากไปด้วย ต่อจากนี้ไปไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว สบายใจได้แล้วนะ”
แต่ไม่ได้ช่วยให้รุริโกะคลายใจแม้แต่นิดเดียว คำถามที่เต็มไปด้วยความกังวลและสงสัยที่ว่า
“ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านพ่อไปเอาเงินมากมายอย่างนั้นมาจากไหน”
หยุดสะดุดอยู่แค่ลำคอ ดีที่เจ้าตัวยั้งเอาไว้ได้ทัน
2
ภาวะวิกฤติของครอบครัวคะระซะวะผ่านพ้นไปอย่างเฉียดฉิวในวันสุดท้ายของเดือนมิถุนายน ย่างเข้าเดือนกรกฎาคมแล้วแต่ความหวั่นใจของรุริโกะที่มีต่อเงินก้อนใหญ่กว่าสามหมื่นเยนที่เข้ามาอยู่ในกระเป๋าของบิดาทันเส้นตายอย่างน่าอัศจรรย์นั้น ใช่ว่าจะจางลงง่าย ๆ
จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงกลางเดือนกรกฎาคม ดอกแพรเซียงไฮ้กลีบบางเบาหลากสีที่รุริโกะชอบก็บานสะพรั่งอยู่บนพื้นทรายขาวละเอียด สลับสีแดงจัด ขาว และเหลือง เป็นความงามเพียงอย่างเดียวที่ช่วยแต่งแต้มสวนที่รกร้างยามฤดูร้อนให้ดูสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง
เมื่อเวลาผ่านไป รุริโกะนึกถึงชายที่ชื่อโชดะน้อยครั้งลงตามลำดับ ส่วนหน้าของนายหน้าทวงหนี้จมูกงุ้มเหมือนนกเหยี่ยวนั้นเธอเลิกนึกถึงไปนานแล้ว เด็กสาวได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งความทุกข์ใจที่เกิดจากเหตุการณ์ทั้งหมดจะเลือนหายไปเหมือนฝันร้าย
รุริโกะคิดผิดเสียแล้ว เพราะธนูอาบยาพิษดอกสุดท้ายที่ปีศาจร้ายยิงออกจากแล่งนั้นกำลังพุ่งเข้าสู่เป้า
ปลายเดือนกรกฏาคมนั้นเอง จู่ ๆ พลตำรวจเอก T เจ้ากรมตำรวจก็แจ้งมาว่ามีธุระด่วนที่ต้องคุยท่านพ่อของรุริโกะ ผู้ใหญ่สองท่านนี้ไม่ได้คบหากันเป็นส่วนตัว เคยพบหน้ากันสองสามครั้งในการประชุมเท่านั้น ตอนที่ท่านคะระซะวะยังมีบทบาทอยู่ในคณะรัฐมนตรีดูเหมือนออกจะดูแคลนท่านผู้นี้หน่อย ๆ ด้วยซ้ำ
“ธุระอะไรกันนะ”
บิดาพึมพำพลางเอียงคอด้วยท่าทางแคลงใจ ส่วนรุริโอะนั้นแค่ได้ยินคำว่าเจ้ากรมตำรวจก็ใจหายเสียแล้ว
ท่านคะระซะวะดูเหมือนจะรู้นัยบางอย่างของคำเชิญนั้นเพราะเห็นแต่งตัวออกไปอย่างไม่แสดงว่าหวั่นใจอะไรสักนิด ไม่เหมือนรุริโกะที่ใจเต้นระทึกไม่หยุดหลังยืนส่งบิดาออกจากบ้านไปตามธรรมเนียมปฎิบัติ
บิดากลับมาภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง รุริโกะที่คอยอยู่ด้วยความกระวนกระวานจึงค่อยโล่งใจรีบถลาออกไปรับที่หน้าประตูเรือน
แต่พอเห็นหน้าบิดาเพียงแวบเดียวเด็กสาวก็ยืนตะลึงใจหายวูบ รู้ทันทีว่ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นแน่นอน ท่านพ่อของเธอหน้าซีดขาวแทบไม่มีสีเลือด ดวงตาเท่านั้นที่ยังสุกใส...แต่ไม่ใช่ซิ เป็นดวงตาของคนใกล้เสียสติต่างหาก เพราะมันเหม่อลอยสิ้นพลัง
“ท่านพ่อกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงทักของรุริโกะพลอยแหบพร่า ติดอยู่ในลำคอ
และพอรุริโกะเงยหน้าขึ้นมอง ท่านพ่อของเธอก็เดินดุ่ม ๆ ขึ้นบันไดไปชั้นบนเหมือนละอายที่จะสบตาด้วย
อกใจของรุริโกะห่อเหี่ยวมืดดำเมื่อเห็นสีหน้าท่าทีอันหม่นหมองของบิดา เธอเดินตามขึ้นไปติด ๆ หวังจะช่วยปลอบโยน
แต่บิดานั้น พอเข้าห้องส่วนตัวของตนได้ก็ไม่หันมามองลูกสาวที่เดินตามขึ้นมาเลย
“รุริ ปล่อยให้พ่ออยู่คนเดียวสักพักหนึ่งเถิด”
เสียงพูดของพ่อไม่ใช่เสียงสั่ง แต่เป็นคำอ้อนวอนแหบโดยของคนที่ไร้พลังอำนาจอย่างสิ้นเชิง
เมื่อสิ้นคำ รุริเห็นน้ำตาเอ่อขึ้นมาเต็มสองตาของบิดา
น้ำตาของบิดา...ตั้งแต่เกิดจนอายุสิบแปดรุริโกะเห็นครั้งแรกน้ำตาของบิดาครั้งแรกและครั้งเดียวเมื่อตอนที่พูดกับมารดาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเสียชีวิต
เมื่อบิดาบอกเช่นนั้น รุริโกะก็ไม่เซ้าซี้ร่ำไร จึงเดินกลับไปห้องส่วนตัวด้วยใจกังวล ราวกับมีใครเอาหมึกดำมาราดท่วมทั้งหัวอกหัวใจ
พอรุริโกะขึ้นไปเรียกให้ลงมารับประทานอาหารเย็น บิดาก็บอกว่า “ไม่อยากกิน” แล้วก็เงียบอยู่ในห้องนั่งเล่นส่วนตัว ตั้งแต่บ่ายสี่โมงจนถึงราวสี่ทุ่ม ไม่ใครได้ยินเสียงดังมาจากห้องนั้นสักแก๊กเดียว
ตามปกติพอสี่ทุ่มบิดาจะเขาห้องนอน วันนั้นพอนาฬิกาตีบอกเวลาสี่ทุ่มรุริโกะก็ขึ้นไปชั้นบน เคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปพลางบอกว่า
“สี่ทุ่มแล้ว ได้เวลาเข้านอนเจ้าค่ะ”
บิดานั่งนิ่ง พูดเสียงต่ำลึกโดยไม่หันมามองว่า
“พ่อจะตื่นอยู่อีกสักพัก รุริ...หนูนอนก่อนเถิด”
รุริโกะเป็นห่วงบิดาเหลือเกิน อย่าว่าแต่ให้กลับไปห้องส่วนตัวเลย แค่จะเดินจากไปปล่อยให้บิดาอยู่คนเดียวก็ยังทำได้ยาก เด็กสาวเดินลงบันไดมาได้ครึ่งหนึ่ง ก็เกิดสังหรณ์ใจขึ้นมาจนไม่อาจก้าวต่อไปได้ จึงย่องกลับขึ้นไปอีกครั้ง เธอยืนพิงผนังระเบียงมืด ๆ ระหว่างทางไปยังห้องชุดส่วนตัวของบิดาระวังเหตุอยู่ ไม่อาจทิ้งให้อยู่ตามลำพังได้