บทประพันธ์ของ เอะโดะงะวะ รัมโปะ
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
คำนำ
แผนสังหารใต้หลังคา เป็นนิยายประเภทรหัสคดีชุดนักสืบสมัครเล่นอะเกะชิ โคะโงะโร ของ เอะโดะงะวะ รัมโปะ ที่มีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวขวัญกันมากเรื่องหนึ่ง ได้รับเลือกไปสร้างเป็นภาพยนตร์และละครชุดทางโทรทัศน์หลายครั้งตลอดมาจนทุกวันนี้ มีเรื่องเล่าว่ารัมโปะได้แนวคิดเรื่องแผนสังหารใต้หลังคาจากประสบการณ์สมัยที่ทำงานอยู่ในโรงต่อเรือที่เมืองโทะบะลงไปทางใต้ของกรุงโตเกียว คือแอบหนีงานเข้าไปนอนอยู่ในตู้เก็บที่นอนของหอพักและการขึ้นไปสำรวจใต้หลังคาของบ้านตนเองในเวลาต่อมา เขาเขียนเรื่องนี้ตอนที่กำลังขาดวัตถุดิบ และพอเขียนจบก็ไม่ได้พอใจเพราะเห็นว่าเนื้อเรื่องอ่อนไปทำให้รู้สึกท้อแท้ แต่ปรากฏว่าได้รับความชื่นชอบจากผู้อ่านเกินคาด จนมีกำลังใจสร้างผลงานต่อมา กล่าวกันว่า รัมโปได้เปลี่ยนกลอุบายของแผนสังหารใต้หลังคาในต้นฉบับแรกซึ่งเขียนขึ้นอย่างเร่งรัดเพื่อให้ทันกำหนดเส้นตายของสำนักพิมพ์ในภายหลัง เพราะเห็นว่าฆาตกรใต้หลังคาไม่สามารถสังหารเหยื่อได้จริงตามกลอุบายนั้น อย่างไรก็ตาม กลอุบายของแผนสังหารใต้หลังคา ฉบับปัจจุบันก็ยังคงเป็นหัวข้อกล่าวขานกันในวงการวิจารณ์นิยายรหัสคดีในแง่ที่ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่อย่างไร และในเมื่อการวินิจฉัยความเป็นไปได้หรือไม่ยังไม่บรรลุข้อยุติ ผู้อ่านจึงต้องพลอยมีส่วนร่วมไปด้วยราวกับเป็นคนหนึ่งในคณะนักสืบโดยจะต้องติดตามพฤติกรรมของตัวเอกซึ่งเป็นนักเดินเที่ยวใต้หลังคาคนนี้ ตั้งแต่ต้นเรื่องไปเลยทีเดียว และนั่นคือเสน่ห์ของนิยายเรื่องนี้
ตอนที่ 1
โกดะ ซะบุโรอาจกำลังป่วยเป็นโรคประสาทชนิดหนึ่ง เพราะไม่ว่าจะเที่ยวเล่นหาความสำราญประเภทไหน ทำงานทำการอาชีพอะไร หรือลองทำอะไร ดูมันไม่สนุกเอาเสียเลย รู้สึกว่าโลกนี้ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน
ตั้งแต่จบจากโรงเรียน---ที่นี่ก็เหมือนกัน ซะบุโรเข้าเรียนน้อยมากแทบจะนับจำนวนวันได้ในแต่ละปี---ก็ลองไปทำงานนั่นนี่แทบจะทุกอย่างที่ตนเองน่าจะทำได้ แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่พบงานที่โดนใจขนาดทำให้เขาอุทิศชีวิตให้ได้ บางทีงานอาชีพที่เขาพอใจขนาดนั้นอาจไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้ก็ได้ ซะบุโรเปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น 1 ปี เป็นอย่างยาว และ 1 เดือน เป็นอย่างสั้น จนในที่สุดก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะหางานทำต่อไป ได้แต่อยู่เฉย ๆ ไปวัน ๆ ด้วยความเบื่อหน่าย
ทีนี้มาดูการเล่นสนุกหาความสำราญของเขาดูบ้าง ซะบุโรลองเล่นมาแล้วทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเกมการ์ด เล่นบอล เทนนิส ว่ายน้ำ ปีนเขา หมากล้อม หมากรุก ไปจนถึงการพนัน และอีกหลาย ๆ อย่างจนไม่เหลือการละเล่นอะไรอื่นอีก ถ้าจะให้จาระไนทั้งหมดละก็กระดาษที่แผ่น ๆ ก็ไม่พอเขียน เขาถึงกับไปซื้อสารานุกรมการละเล่นมาค้นดูว่ามีอะไรที่ยังไม่ได้เล่นอีกไหม เมื่อพบก็ไปเที่ยวลองจนหมด แต่ทุกอย่างจบลงด้วยความผิดหวังเสมอเช่นเดียวกับงานอาชีพ ถึงตรงนี้ ผู้อ่านหลายคนต้องบอกแน่เลยว่า...โลกเรานี้ยังมี “ผู้หญิง” กับ “สุรา” เป็นความสำราญอันวิเศษที่ไม่มีใครเบื่อตลอดชีวิตมิใช่หรือ แต่น่าประหลาดที่นายโกดะ ซะบุโรของเราคนนี้ไม่สนใจใยดีกับสองสิ่งที่ว่านั้นเลย สุรานั้นอาจเป็นเพราะไม่ถูกกับร่างกายหรือยังไงเขาจึงไม่ดื่มแม้แต่หยดเดียว ส่วนเรื่องผู้หญิงก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอารมณ์พิศวาสเสียเลยทีเดียว รู้สึกว่าเที่ยวช่ำชองอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยคิดจริงจังถึงขนาดจะตัดสินใจร่วมชีวิตกับใครสักคน
ซะบุโรถึงกับเคยคิดว่า “ตาย ๆ ไปเสียน่าจะดีกว่ามีอายุยืนยาวอยู่ในโลกที่น่าเบื่อแบบนี้” แต่คนอย่างเขาก็ยังมีสัญชาติญาณของความกลัวตายเสียดายเฉกเช่นปุถุชนคนธรรมดาเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นก็คงไม่อยู่มาจนถึงวันนี้เมื่ออายุ 25 ปี โดยไม่ตาย ทั้ง ๆ ที่พร่ำพูดว่า “จะตาย จะตาย” อยู่ร่ำไป
ถึงจะไม่ทำงานอะไรแต่ซะบุโรก็ดำรงชีวิตอยู่อย่างได้อย่างไม่ขัดสนเพราะพ่อแม่ส่งเงินให้เขาจำนวนหนึ่งเป็นประจำทุกเดือน นั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชายหนุ่มอยู่อย่างเอาใจตัวเองได้อย่างสบายไม่ต้องวิตกกังวลอะไร นอกจากนั้นเงินที่พ่อแม่ส่งให้นี้ยังช่วยให้เขาสามารถดิ้นรนเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่สนุกและมีความหมายขึ้นมาบ้าง อย่างเช่น ช่วยให้เขาสามารถเปลี่ยนที่พักจากที่นี่ไปที่นั่นได้บ่อยครั้งมากเช่นเดียวกับการเปลี่ยนงานและการเที่ยว อาจเกินไปนิดถ้าจะบอกว่า ซะบุโรรู้จักหอพักทุกแห่งในกรุงโตเกียว พออยู่ได้สักเดือนหรือครึ่งเดือนก็จะหาเรื่องย้ายไปอยู่หอพักแห่งอื่นทันที ระหว่างนั้นมีบางช่วงเหมือนกันที่เขาออกเดินทางไปเรื่อย ๆ เหมือนชายพเนจร และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาลองเข้าไปอยู่ในป่าลึกบนภูเขาราวกับฤาษีจำศีล แต่ชาวกรุงอย่างเขาย่อมอยู่อย่างโดดเดี่ยวในชนบทเปลี่ยวเปล่าห่างไกลเช่นนั้นไม่ได้แน่นอน บอกใคร ๆ ว่าจะออกเดินทางท่องเที่ยวแต่ไม่นานก็กลับมาโตเกียวราวกับถูกดึงดูดจากแสงสีและความสับสนอลหม่านของนครหลวง และคงไม่ต้องบอกหรอกว่าพอกลับมาซะบุโรเป็นต้องเปลี่ยนหอพักทุกครั้งไป

เอาละ เรามาเข้าเรื่องกันเสียทีเมื่อซะบุโรย้ายที่อยู่อีกครั้ง คราวนี้เป็นหอพักที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่เอี่ยม สีทาผนังยังหมาด ๆ อยู่เลย ในที่สุดโกดะ ซะบุโรก็ได้พบกับสิ่งที่สร้างความสุขสันต์หรรษาอย่างวิเศษให้แก่เขาที่นี่เอง และเรื่องราวที่จะเล่าให้ฟังกันต่อไปนี้เป็นคดีฆาตกรรมที่ได้ชื่อเรื่องมาจากการค้นพบของเขาผู้นี้นี่เอง แต่ก่อนที่จะดำเนินเรื่องไปในแนวนั้น คงจะต้องเกริ่นให้รู้กันไว้สักนิดหนึ่งว่าโกดะ ซะบุโร ตัวเอกของเรื่องนี้กับอะเกะชิ โคะโงะโรนักสืบสมัครเล่นที่คิดว่าชื่อของเขาคงคุ้นหูกันบางแล้วนั้นรู้จักกันได้อย่างไร และทำไมคนที่ไม่เคยคำนึงถึงสิ่งที่เรียกว่า “อาชญากรรม” อย่างซะบุโรนั้นหันมาให้ให้ความสนใจอย่างมากจนกลายเป็นแง่คิดแนวใหม่ในชีวิตของเขา
คนทั้งสองพบกันโดยบังเอิญที่คาเฟ่แห่งหนึ่ง พอดีวันนั้นเพื่อนที่มากับซะบุโรรู้จักอะเกะชิจึงได้แนะนำให้รู้จักกัน ซะบุโรรู้สึกทึ่งและติดใจท่าทีอันฉลาดปราดเปรื่อง วิธีการพูดจา การแต่งเนื้อแต่งตัว และอะไร ๆ อีกหลายอย่างของอะเกะชิอย่างมาก หลังจากนั้นจึงหาโอกาสไปเยี่ยมเยียนเขาบ่อย ๆ ส่วนอะเกะชิเองนั้นก็ไปเที่ยวเล่นที่หอพักของซะบุโรเป็นครั้งคราว เรียกได้ว่าสนิทสนมกันดี ถ้าจะว่าไปการที่อะเกะชิสนิทสนมด้วยนั้นอาจเป็นเพราะเห็นว่านิสัยของซะบุโรดูแปลกเหมือนกับเป็นโรคจิตอะไรสักอย่าง น่าจะเป็นวัตถุดิบที่ดีสำหรับการค้นคว้าวิจัยของเขา แต่ทางด้านซะบุโรนั้นการได้ฟังคำวินิจฉัยคดีอาชญากรรมที่เต็มไปด้วยสเน่ห์นานัปการของอะเกะชิเท่านั้นเขาก็มีความสุขอย่างเหลือล้นแล้ว
เรื่องของดร.เว็ปสเตอร์ที่ฆ่าเพื่อนร่วมงานแล้วเอาศพไปเผาทิ้งในเตาของห้องทดลอง คดีฆาตกรรมที่มียูจีน แอรัมผู้รอบรู้ภาษาของหลายประเทศและค้นพบความจริงที่สำคัญด้านภาษาเป็นฆาตกรตัวจริง เรื่องของเวนไรท์นักวิจารณ์วรรณคดีผู้มีชื่อเสียงที่มีหลังฉากเป็นนักล่าเงินประกัน เรื่องของโนะงุชิ โอซะบุโรที่เอาเนื้อก้นของเด็กอ่อนมาต้มให้พ่อเลี้ยงกินเพื่อรักษาโรคเรื้อน และเรื่องของลันดรูที่มีเมียกี่คนกี่คนก็ฆ่าตายหมด ทั้งยังเรื่องของอาชญากรรมอันสยดสยองของอาร์มสตรอง คิดดูแล้วกันว่าซะบุโรผู้ที่กำลังเบื่อโลกเต็มทีนั้นจะมีความสุขปานใดที่ได้ยินเรื่องพวกนี้ วิธีเล่าเรื่องอันเก่งฉกาจของอะเกะชิทำให้เรื่องอาชญากรรมมีสีสันเป็นจริงเป็นจังราวกับภาพเขียนในม้วนภาพประวัติศาสตร์ มีเสน่ห์อันลึกล้ำจูงใจให้ซะบุโรวาดภาพขึ้นมาอย่างชัดเจนราวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา
หลังจากรู้จักกับอะเกะชิได้ราวสองหรือสามเดือน ดูเหมือนซะบุโรจะลืมความจืดชืดไร้รสชาติของโลกนี้ไปจนหมดสิ้น ชายหนุ่มไปกว้านซื้อหนังสือเกี่ยวกับอาชญากรรมต่าง ๆ มาได้หลายเล่ม และตั้งหน้าตั้งตาอ่านทุกวัน ในบรรดาหนังสือที่เขาอ่านนั้นมีนิยายนักสืบของเอ็ดการ์ แอลลัน โป ของฮอฟมาน ของกาโปริโอ บัวโกเบ และของนักประพันธ์มีชื่อคนอื่น ๆ รวมอยู่ด้วย ทุกครั้งที่ซะบุโรอ่านจบจนถึงหน้าสุดท้ายของหนังสือ เขาจะถอนใจแล้วรำพึงว่า “โลกเรายังมีสิ่งสนุก ๆ น่าสนใจอย่างนี้อยู่ด้วยหรือนี่” ทั้งยังคิดไปไกลถึงกับว่าถ้าเป็นไปได้อยากลองทำอะไรที่โหด ๆ โดดเด่นอย่างตัวเอกในเรื่องอาชญากรรมลึกลับเหล่านั้นสักครั้ง
แต่ก็นั่นแหละ ขนาดซะบุโรที่ว่ามุทะลุพอดูแล้ว ถึงอย่างไรก็ยังไม่บ้าบิ่นที่จะทำอะไรผิดกฎหมายให้ต้องตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาชญากรรม โดยไม่นึกว่าพ่อแม่ พี่น้อง และญาติสนิทมิตรสหาย จะเสียใจและอับอายเพียงใด และจากที่อ่านในหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นผู้ร้ายที่มีกลเม็ดเด็ดพรายแยบยลเฉียบแหลมเพียงใด จะต้องทิ้งจุดบกพร่องเอาไว้ไม่อย่างก็สองอย่างให้สืบสาวเข้าไปถึงตัวจนได้ เท่าที่เห็นแทบไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะรอดพ้นเงื้อมมือตำรวจไปตลอดชีวิต และถ้ามีก็ต้องเป็นข้อยกเว้นอย่างหนึ่งในหมื่นหรือมากกว่านั้นละมัง ตรงนี้แหละที่เขาหวาดกลัวเอามาก ๆ ซะบุโรโชคไม่ดีเลยที่มาติดอกติดใจเรื่องอาชญากรรมอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้ง ๆ ก่อนหน้านี้ไม่เคยสนใจอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างในโลกนี้ และที่ร้ายกว่านั้นคือเขาไม่กล้ายื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องกับ “อาชญากรรม” ใด ๆ เพราะกลัวถูกจับได้
พออ่านหนังสือเท่าที่จะเสาะหามาได้จนหมด คราวนี้เขาก็เริ่มเลียนแบบการก่อ “อาชญากรรม” แค่ทำเล่น ๆ เลียนแบบตามหนังสือนักสืบเท่านั้นจึงไม่ต้องเกรงกลัวอะไร ลองดูพฤติกรรมของเขาบ้าง

ซะบุโรเริ่มหันไปสนใจย่านอะซะกุซะอีกครั้งหลังจากเบื่อหน่ายมานานเต็มที สวนสนุกอะซะกุซะที่เหมือนกับใครเอากล่องของเล่นมากอง ๆ แล้วราดสีสด ๆ สารพัดสีลงไปนั้นเป็นเวทีที่เหมาะมากสำหรับคนที่ชอบเรื่องอาชญากรรม เขาเดินเลาะลัดไปตามซอกซอยแคบ ๆ ระหว่างโรงมหรสพของสวนสนุก และพบว่าย่านอะซะกุซะก็มีจุดบอดเป็นที่เปลี่ยวไม่มีผู้คนผ่านไปมาอยู่เหมือนกัน เขาชอบที่จะเดินหลงไปมาอยู่ตามซอกซอยแถวนั้นสมมติตนเองเป็นผู้ร้ายอย่างกับกำลังเล่นโปลิศจับขโมย บางครั้งก็เอาชอล์คเขียนลูกศรบนกำแพงไว้ตรงนั้นตรงนี้ทั่วไปทำเป็นว่าสื่อสารรหัสลับกับพรรคพวกเหล่าร้ายที่รู้กันดี พอเจอคนเดินผ่านมาท่าทางเป็นคนรวย ก็สะกดรอยตามไปถึงไหน ๆ ราวกับนักฉกชิงวิ่งราวตัวจริง บางครั้งก็หนักข้อถึงกับเขียนข้อความเหมือนรหัสปริศนาแปลกประหลาดลงบนเศษกระดาษ เกี่ยวกับคดีฆาตกรรมเหี้ยมโหดที่ยังจับคนร้ายไม่ได้และเขาคอยสอดส่องติดตามความคืบหน้าอยู่เสมอ แล้วเอาไปเสียบไว้ระหว่างแผ่นกระดานของม้านั่งในสวนสาธารณะ ส่วนตนเองแฝงตัวอยู่หลังต้นไม้เฝ้าดูว่าถ้าใครมาพบเศษกระดาษที่ว่านี้แล้วจะโกลาหลกันขนาดไหน นอกจากนั้นซะบุโรยังเล่นอะไรแผลง ๆ อีกหลายอย่างสนุกอยู่คนเดียว
บางครั้งซะบุโรจะแปลงตัวออกไปเดินเตร็ดเตร่อยู่ตามชุมชนโน้นนี้ ทำทีเป็นกรรมกรบ้าง เป็นขอทาน เป็นนักศึกษาบ้าง แต่ในบรรดาการปลอมตัวหลากหลายนั้นดูเหมือนว่าปีศาจโรคจิตในตัวซะบุโรจะปลื้มกับการปลอมเป็นผู้หญิงมากที่สุด เพื่อการนี้เขาลงทุนขายกิโมโน นาฬิกา และของมีค่าอื่น ๆ เพื่อให้ได้เงินมาซื้อผมปลอมอย่างดีราคาแพง และกว้านซื้อเสื้อผ้าใช้แล้วของผู้หญิง ซะบุโรใช้เวลาแต่งตัวเป็นผู้หญิงแบบที่เขาชอบครั้งละนาน ๆ และพอเสร็จก็จะใช้เสื้อโค้ตคลุมตั้งแต่ศีรษะลงมาเพื่อพรางตัวออกจากประตูเข้าออกของหอพัก พอไปถึงที่ปลอดคนก็ถอดเสื้อโค้ตออกเดินเตร่ไปมาในสวนสาธารณะเปลี่ยว ๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาตั้งใจหาเรื่องแกล้งโดยแต่งเป็นผู้หญิงเข้าไปนั่งปะปนกับพวกผู้ชายในโรงหนังขณะที่กำลังสนุกกันเต็มที่ (สมัยนั้นโรงหนังจัดให้ผู้หญิงกับผู้ชายแยกกันนั่งคนละฟาก) จนเกือบเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นจริง ๆ ซะบุโรปลอมตัวเป็นหญิงนาน ๆ เข้าก็เกิดหลงตนเองขึ้นมาว่าเป็นนางร้ายที่มีพิษภัยร้ายกาจ ที่อ่านพบในนิยายโบราณปรัมปราหรือละครคาบูกิอย่างเช่น นางเฮียกุที่ร้ายกาจพอ ๆ กับนางขันกีในนิยายจีน นางโอะโยะชิผู้มีมารยาสารพัดราวงูพิษ จึงแต่งเป็นหญิงพลางวาดภาพอย่างสำราญบานใจว่าจะไปยั่วยวนพวกผู้ชายให้ลุ่มหลงจนสามารถจูงจมูกให้ทำอะไรก็ได้ตามใจตน

ทว่าการเล่นแผลง ๆ เลียนแบบ “อาชญากรรม” ทั้งหมดนั้นเป็นแค่การพยายามสนองกิเลสของตนในระดับหนึ่ง แม้ว่าบางครั้งจะก่อเหตุที่ชวนให้ระทึกใจขึ้นเล็กน้อยพอให้สนุกไปในตอนนั้น แต่เล่นก็คือเล่นไม่ได้มีการเสี่ยงอันตรายให้ใจตื่นระทึกอันเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจสำหรับคนที่สนใจใคร่รู้เกี่ยวกับ “อาชญากรรม” เหตุที่เกิดจากการเล่นสนุกของเขาไม่ได้น่าสนใจมากมายอะไร ไม่มีแรงจูงใจเสียจนทำให้เขาตื่นเต้นสุดขีดอยู่ไม่รู้จบ เวลาผ่านไปแค่สามเดือนความตื่นเต้นในของเล่นใหม่นั้นไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด การคบหากับอะเกะชิที่เขาหลงเสน่ห์ติดตามแจขนาดนั้นก็ค่อย ๆ ห่างเหินไปตามลำดับ
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
คำนำ
แผนสังหารใต้หลังคา เป็นนิยายประเภทรหัสคดีชุดนักสืบสมัครเล่นอะเกะชิ โคะโงะโร ของ เอะโดะงะวะ รัมโปะ ที่มีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวขวัญกันมากเรื่องหนึ่ง ได้รับเลือกไปสร้างเป็นภาพยนตร์และละครชุดทางโทรทัศน์หลายครั้งตลอดมาจนทุกวันนี้ มีเรื่องเล่าว่ารัมโปะได้แนวคิดเรื่องแผนสังหารใต้หลังคาจากประสบการณ์สมัยที่ทำงานอยู่ในโรงต่อเรือที่เมืองโทะบะลงไปทางใต้ของกรุงโตเกียว คือแอบหนีงานเข้าไปนอนอยู่ในตู้เก็บที่นอนของหอพักและการขึ้นไปสำรวจใต้หลังคาของบ้านตนเองในเวลาต่อมา เขาเขียนเรื่องนี้ตอนที่กำลังขาดวัตถุดิบ และพอเขียนจบก็ไม่ได้พอใจเพราะเห็นว่าเนื้อเรื่องอ่อนไปทำให้รู้สึกท้อแท้ แต่ปรากฏว่าได้รับความชื่นชอบจากผู้อ่านเกินคาด จนมีกำลังใจสร้างผลงานต่อมา กล่าวกันว่า รัมโปได้เปลี่ยนกลอุบายของแผนสังหารใต้หลังคาในต้นฉบับแรกซึ่งเขียนขึ้นอย่างเร่งรัดเพื่อให้ทันกำหนดเส้นตายของสำนักพิมพ์ในภายหลัง เพราะเห็นว่าฆาตกรใต้หลังคาไม่สามารถสังหารเหยื่อได้จริงตามกลอุบายนั้น อย่างไรก็ตาม กลอุบายของแผนสังหารใต้หลังคา ฉบับปัจจุบันก็ยังคงเป็นหัวข้อกล่าวขานกันในวงการวิจารณ์นิยายรหัสคดีในแง่ที่ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่อย่างไร และในเมื่อการวินิจฉัยความเป็นไปได้หรือไม่ยังไม่บรรลุข้อยุติ ผู้อ่านจึงต้องพลอยมีส่วนร่วมไปด้วยราวกับเป็นคนหนึ่งในคณะนักสืบโดยจะต้องติดตามพฤติกรรมของตัวเอกซึ่งเป็นนักเดินเที่ยวใต้หลังคาคนนี้ ตั้งแต่ต้นเรื่องไปเลยทีเดียว และนั่นคือเสน่ห์ของนิยายเรื่องนี้
ตอนที่ 1
โกดะ ซะบุโรอาจกำลังป่วยเป็นโรคประสาทชนิดหนึ่ง เพราะไม่ว่าจะเที่ยวเล่นหาความสำราญประเภทไหน ทำงานทำการอาชีพอะไร หรือลองทำอะไร ดูมันไม่สนุกเอาเสียเลย รู้สึกว่าโลกนี้ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน
ตั้งแต่จบจากโรงเรียน---ที่นี่ก็เหมือนกัน ซะบุโรเข้าเรียนน้อยมากแทบจะนับจำนวนวันได้ในแต่ละปี---ก็ลองไปทำงานนั่นนี่แทบจะทุกอย่างที่ตนเองน่าจะทำได้ แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่พบงานที่โดนใจขนาดทำให้เขาอุทิศชีวิตให้ได้ บางทีงานอาชีพที่เขาพอใจขนาดนั้นอาจไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้ก็ได้ ซะบุโรเปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น 1 ปี เป็นอย่างยาว และ 1 เดือน เป็นอย่างสั้น จนในที่สุดก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะหางานทำต่อไป ได้แต่อยู่เฉย ๆ ไปวัน ๆ ด้วยความเบื่อหน่าย
ทีนี้มาดูการเล่นสนุกหาความสำราญของเขาดูบ้าง ซะบุโรลองเล่นมาแล้วทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเกมการ์ด เล่นบอล เทนนิส ว่ายน้ำ ปีนเขา หมากล้อม หมากรุก ไปจนถึงการพนัน และอีกหลาย ๆ อย่างจนไม่เหลือการละเล่นอะไรอื่นอีก ถ้าจะให้จาระไนทั้งหมดละก็กระดาษที่แผ่น ๆ ก็ไม่พอเขียน เขาถึงกับไปซื้อสารานุกรมการละเล่นมาค้นดูว่ามีอะไรที่ยังไม่ได้เล่นอีกไหม เมื่อพบก็ไปเที่ยวลองจนหมด แต่ทุกอย่างจบลงด้วยความผิดหวังเสมอเช่นเดียวกับงานอาชีพ ถึงตรงนี้ ผู้อ่านหลายคนต้องบอกแน่เลยว่า...โลกเรานี้ยังมี “ผู้หญิง” กับ “สุรา” เป็นความสำราญอันวิเศษที่ไม่มีใครเบื่อตลอดชีวิตมิใช่หรือ แต่น่าประหลาดที่นายโกดะ ซะบุโรของเราคนนี้ไม่สนใจใยดีกับสองสิ่งที่ว่านั้นเลย สุรานั้นอาจเป็นเพราะไม่ถูกกับร่างกายหรือยังไงเขาจึงไม่ดื่มแม้แต่หยดเดียว ส่วนเรื่องผู้หญิงก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอารมณ์พิศวาสเสียเลยทีเดียว รู้สึกว่าเที่ยวช่ำชองอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยคิดจริงจังถึงขนาดจะตัดสินใจร่วมชีวิตกับใครสักคน
ซะบุโรถึงกับเคยคิดว่า “ตาย ๆ ไปเสียน่าจะดีกว่ามีอายุยืนยาวอยู่ในโลกที่น่าเบื่อแบบนี้” แต่คนอย่างเขาก็ยังมีสัญชาติญาณของความกลัวตายเสียดายเฉกเช่นปุถุชนคนธรรมดาเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นก็คงไม่อยู่มาจนถึงวันนี้เมื่ออายุ 25 ปี โดยไม่ตาย ทั้ง ๆ ที่พร่ำพูดว่า “จะตาย จะตาย” อยู่ร่ำไป
ถึงจะไม่ทำงานอะไรแต่ซะบุโรก็ดำรงชีวิตอยู่อย่างได้อย่างไม่ขัดสนเพราะพ่อแม่ส่งเงินให้เขาจำนวนหนึ่งเป็นประจำทุกเดือน นั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชายหนุ่มอยู่อย่างเอาใจตัวเองได้อย่างสบายไม่ต้องวิตกกังวลอะไร นอกจากนั้นเงินที่พ่อแม่ส่งให้นี้ยังช่วยให้เขาสามารถดิ้นรนเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่สนุกและมีความหมายขึ้นมาบ้าง อย่างเช่น ช่วยให้เขาสามารถเปลี่ยนที่พักจากที่นี่ไปที่นั่นได้บ่อยครั้งมากเช่นเดียวกับการเปลี่ยนงานและการเที่ยว อาจเกินไปนิดถ้าจะบอกว่า ซะบุโรรู้จักหอพักทุกแห่งในกรุงโตเกียว พออยู่ได้สักเดือนหรือครึ่งเดือนก็จะหาเรื่องย้ายไปอยู่หอพักแห่งอื่นทันที ระหว่างนั้นมีบางช่วงเหมือนกันที่เขาออกเดินทางไปเรื่อย ๆ เหมือนชายพเนจร และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาลองเข้าไปอยู่ในป่าลึกบนภูเขาราวกับฤาษีจำศีล แต่ชาวกรุงอย่างเขาย่อมอยู่อย่างโดดเดี่ยวในชนบทเปลี่ยวเปล่าห่างไกลเช่นนั้นไม่ได้แน่นอน บอกใคร ๆ ว่าจะออกเดินทางท่องเที่ยวแต่ไม่นานก็กลับมาโตเกียวราวกับถูกดึงดูดจากแสงสีและความสับสนอลหม่านของนครหลวง และคงไม่ต้องบอกหรอกว่าพอกลับมาซะบุโรเป็นต้องเปลี่ยนหอพักทุกครั้งไป
เอาละ เรามาเข้าเรื่องกันเสียทีเมื่อซะบุโรย้ายที่อยู่อีกครั้ง คราวนี้เป็นหอพักที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่เอี่ยม สีทาผนังยังหมาด ๆ อยู่เลย ในที่สุดโกดะ ซะบุโรก็ได้พบกับสิ่งที่สร้างความสุขสันต์หรรษาอย่างวิเศษให้แก่เขาที่นี่เอง และเรื่องราวที่จะเล่าให้ฟังกันต่อไปนี้เป็นคดีฆาตกรรมที่ได้ชื่อเรื่องมาจากการค้นพบของเขาผู้นี้นี่เอง แต่ก่อนที่จะดำเนินเรื่องไปในแนวนั้น คงจะต้องเกริ่นให้รู้กันไว้สักนิดหนึ่งว่าโกดะ ซะบุโร ตัวเอกของเรื่องนี้กับอะเกะชิ โคะโงะโรนักสืบสมัครเล่นที่คิดว่าชื่อของเขาคงคุ้นหูกันบางแล้วนั้นรู้จักกันได้อย่างไร และทำไมคนที่ไม่เคยคำนึงถึงสิ่งที่เรียกว่า “อาชญากรรม” อย่างซะบุโรนั้นหันมาให้ให้ความสนใจอย่างมากจนกลายเป็นแง่คิดแนวใหม่ในชีวิตของเขา
คนทั้งสองพบกันโดยบังเอิญที่คาเฟ่แห่งหนึ่ง พอดีวันนั้นเพื่อนที่มากับซะบุโรรู้จักอะเกะชิจึงได้แนะนำให้รู้จักกัน ซะบุโรรู้สึกทึ่งและติดใจท่าทีอันฉลาดปราดเปรื่อง วิธีการพูดจา การแต่งเนื้อแต่งตัว และอะไร ๆ อีกหลายอย่างของอะเกะชิอย่างมาก หลังจากนั้นจึงหาโอกาสไปเยี่ยมเยียนเขาบ่อย ๆ ส่วนอะเกะชิเองนั้นก็ไปเที่ยวเล่นที่หอพักของซะบุโรเป็นครั้งคราว เรียกได้ว่าสนิทสนมกันดี ถ้าจะว่าไปการที่อะเกะชิสนิทสนมด้วยนั้นอาจเป็นเพราะเห็นว่านิสัยของซะบุโรดูแปลกเหมือนกับเป็นโรคจิตอะไรสักอย่าง น่าจะเป็นวัตถุดิบที่ดีสำหรับการค้นคว้าวิจัยของเขา แต่ทางด้านซะบุโรนั้นการได้ฟังคำวินิจฉัยคดีอาชญากรรมที่เต็มไปด้วยสเน่ห์นานัปการของอะเกะชิเท่านั้นเขาก็มีความสุขอย่างเหลือล้นแล้ว
เรื่องของดร.เว็ปสเตอร์ที่ฆ่าเพื่อนร่วมงานแล้วเอาศพไปเผาทิ้งในเตาของห้องทดลอง คดีฆาตกรรมที่มียูจีน แอรัมผู้รอบรู้ภาษาของหลายประเทศและค้นพบความจริงที่สำคัญด้านภาษาเป็นฆาตกรตัวจริง เรื่องของเวนไรท์นักวิจารณ์วรรณคดีผู้มีชื่อเสียงที่มีหลังฉากเป็นนักล่าเงินประกัน เรื่องของโนะงุชิ โอซะบุโรที่เอาเนื้อก้นของเด็กอ่อนมาต้มให้พ่อเลี้ยงกินเพื่อรักษาโรคเรื้อน และเรื่องของลันดรูที่มีเมียกี่คนกี่คนก็ฆ่าตายหมด ทั้งยังเรื่องของอาชญากรรมอันสยดสยองของอาร์มสตรอง คิดดูแล้วกันว่าซะบุโรผู้ที่กำลังเบื่อโลกเต็มทีนั้นจะมีความสุขปานใดที่ได้ยินเรื่องพวกนี้ วิธีเล่าเรื่องอันเก่งฉกาจของอะเกะชิทำให้เรื่องอาชญากรรมมีสีสันเป็นจริงเป็นจังราวกับภาพเขียนในม้วนภาพประวัติศาสตร์ มีเสน่ห์อันลึกล้ำจูงใจให้ซะบุโรวาดภาพขึ้นมาอย่างชัดเจนราวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา
หลังจากรู้จักกับอะเกะชิได้ราวสองหรือสามเดือน ดูเหมือนซะบุโรจะลืมความจืดชืดไร้รสชาติของโลกนี้ไปจนหมดสิ้น ชายหนุ่มไปกว้านซื้อหนังสือเกี่ยวกับอาชญากรรมต่าง ๆ มาได้หลายเล่ม และตั้งหน้าตั้งตาอ่านทุกวัน ในบรรดาหนังสือที่เขาอ่านนั้นมีนิยายนักสืบของเอ็ดการ์ แอลลัน โป ของฮอฟมาน ของกาโปริโอ บัวโกเบ และของนักประพันธ์มีชื่อคนอื่น ๆ รวมอยู่ด้วย ทุกครั้งที่ซะบุโรอ่านจบจนถึงหน้าสุดท้ายของหนังสือ เขาจะถอนใจแล้วรำพึงว่า “โลกเรายังมีสิ่งสนุก ๆ น่าสนใจอย่างนี้อยู่ด้วยหรือนี่” ทั้งยังคิดไปไกลถึงกับว่าถ้าเป็นไปได้อยากลองทำอะไรที่โหด ๆ โดดเด่นอย่างตัวเอกในเรื่องอาชญากรรมลึกลับเหล่านั้นสักครั้ง
แต่ก็นั่นแหละ ขนาดซะบุโรที่ว่ามุทะลุพอดูแล้ว ถึงอย่างไรก็ยังไม่บ้าบิ่นที่จะทำอะไรผิดกฎหมายให้ต้องตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาชญากรรม โดยไม่นึกว่าพ่อแม่ พี่น้อง และญาติสนิทมิตรสหาย จะเสียใจและอับอายเพียงใด และจากที่อ่านในหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นผู้ร้ายที่มีกลเม็ดเด็ดพรายแยบยลเฉียบแหลมเพียงใด จะต้องทิ้งจุดบกพร่องเอาไว้ไม่อย่างก็สองอย่างให้สืบสาวเข้าไปถึงตัวจนได้ เท่าที่เห็นแทบไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะรอดพ้นเงื้อมมือตำรวจไปตลอดชีวิต และถ้ามีก็ต้องเป็นข้อยกเว้นอย่างหนึ่งในหมื่นหรือมากกว่านั้นละมัง ตรงนี้แหละที่เขาหวาดกลัวเอามาก ๆ ซะบุโรโชคไม่ดีเลยที่มาติดอกติดใจเรื่องอาชญากรรมอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้ง ๆ ก่อนหน้านี้ไม่เคยสนใจอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างในโลกนี้ และที่ร้ายกว่านั้นคือเขาไม่กล้ายื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องกับ “อาชญากรรม” ใด ๆ เพราะกลัวถูกจับได้
พออ่านหนังสือเท่าที่จะเสาะหามาได้จนหมด คราวนี้เขาก็เริ่มเลียนแบบการก่อ “อาชญากรรม” แค่ทำเล่น ๆ เลียนแบบตามหนังสือนักสืบเท่านั้นจึงไม่ต้องเกรงกลัวอะไร ลองดูพฤติกรรมของเขาบ้าง
ซะบุโรเริ่มหันไปสนใจย่านอะซะกุซะอีกครั้งหลังจากเบื่อหน่ายมานานเต็มที สวนสนุกอะซะกุซะที่เหมือนกับใครเอากล่องของเล่นมากอง ๆ แล้วราดสีสด ๆ สารพัดสีลงไปนั้นเป็นเวทีที่เหมาะมากสำหรับคนที่ชอบเรื่องอาชญากรรม เขาเดินเลาะลัดไปตามซอกซอยแคบ ๆ ระหว่างโรงมหรสพของสวนสนุก และพบว่าย่านอะซะกุซะก็มีจุดบอดเป็นที่เปลี่ยวไม่มีผู้คนผ่านไปมาอยู่เหมือนกัน เขาชอบที่จะเดินหลงไปมาอยู่ตามซอกซอยแถวนั้นสมมติตนเองเป็นผู้ร้ายอย่างกับกำลังเล่นโปลิศจับขโมย บางครั้งก็เอาชอล์คเขียนลูกศรบนกำแพงไว้ตรงนั้นตรงนี้ทั่วไปทำเป็นว่าสื่อสารรหัสลับกับพรรคพวกเหล่าร้ายที่รู้กันดี พอเจอคนเดินผ่านมาท่าทางเป็นคนรวย ก็สะกดรอยตามไปถึงไหน ๆ ราวกับนักฉกชิงวิ่งราวตัวจริง บางครั้งก็หนักข้อถึงกับเขียนข้อความเหมือนรหัสปริศนาแปลกประหลาดลงบนเศษกระดาษ เกี่ยวกับคดีฆาตกรรมเหี้ยมโหดที่ยังจับคนร้ายไม่ได้และเขาคอยสอดส่องติดตามความคืบหน้าอยู่เสมอ แล้วเอาไปเสียบไว้ระหว่างแผ่นกระดานของม้านั่งในสวนสาธารณะ ส่วนตนเองแฝงตัวอยู่หลังต้นไม้เฝ้าดูว่าถ้าใครมาพบเศษกระดาษที่ว่านี้แล้วจะโกลาหลกันขนาดไหน นอกจากนั้นซะบุโรยังเล่นอะไรแผลง ๆ อีกหลายอย่างสนุกอยู่คนเดียว
บางครั้งซะบุโรจะแปลงตัวออกไปเดินเตร็ดเตร่อยู่ตามชุมชนโน้นนี้ ทำทีเป็นกรรมกรบ้าง เป็นขอทาน เป็นนักศึกษาบ้าง แต่ในบรรดาการปลอมตัวหลากหลายนั้นดูเหมือนว่าปีศาจโรคจิตในตัวซะบุโรจะปลื้มกับการปลอมเป็นผู้หญิงมากที่สุด เพื่อการนี้เขาลงทุนขายกิโมโน นาฬิกา และของมีค่าอื่น ๆ เพื่อให้ได้เงินมาซื้อผมปลอมอย่างดีราคาแพง และกว้านซื้อเสื้อผ้าใช้แล้วของผู้หญิง ซะบุโรใช้เวลาแต่งตัวเป็นผู้หญิงแบบที่เขาชอบครั้งละนาน ๆ และพอเสร็จก็จะใช้เสื้อโค้ตคลุมตั้งแต่ศีรษะลงมาเพื่อพรางตัวออกจากประตูเข้าออกของหอพัก พอไปถึงที่ปลอดคนก็ถอดเสื้อโค้ตออกเดินเตร่ไปมาในสวนสาธารณะเปลี่ยว ๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาตั้งใจหาเรื่องแกล้งโดยแต่งเป็นผู้หญิงเข้าไปนั่งปะปนกับพวกผู้ชายในโรงหนังขณะที่กำลังสนุกกันเต็มที่ (สมัยนั้นโรงหนังจัดให้ผู้หญิงกับผู้ชายแยกกันนั่งคนละฟาก) จนเกือบเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นจริง ๆ ซะบุโรปลอมตัวเป็นหญิงนาน ๆ เข้าก็เกิดหลงตนเองขึ้นมาว่าเป็นนางร้ายที่มีพิษภัยร้ายกาจ ที่อ่านพบในนิยายโบราณปรัมปราหรือละครคาบูกิอย่างเช่น นางเฮียกุที่ร้ายกาจพอ ๆ กับนางขันกีในนิยายจีน นางโอะโยะชิผู้มีมารยาสารพัดราวงูพิษ จึงแต่งเป็นหญิงพลางวาดภาพอย่างสำราญบานใจว่าจะไปยั่วยวนพวกผู้ชายให้ลุ่มหลงจนสามารถจูงจมูกให้ทำอะไรก็ได้ตามใจตน
ทว่าการเล่นแผลง ๆ เลียนแบบ “อาชญากรรม” ทั้งหมดนั้นเป็นแค่การพยายามสนองกิเลสของตนในระดับหนึ่ง แม้ว่าบางครั้งจะก่อเหตุที่ชวนให้ระทึกใจขึ้นเล็กน้อยพอให้สนุกไปในตอนนั้น แต่เล่นก็คือเล่นไม่ได้มีการเสี่ยงอันตรายให้ใจตื่นระทึกอันเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจสำหรับคนที่สนใจใคร่รู้เกี่ยวกับ “อาชญากรรม” เหตุที่เกิดจากการเล่นสนุกของเขาไม่ได้น่าสนใจมากมายอะไร ไม่มีแรงจูงใจเสียจนทำให้เขาตื่นเต้นสุดขีดอยู่ไม่รู้จบ เวลาผ่านไปแค่สามเดือนความตื่นเต้นในของเล่นใหม่นั้นไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด การคบหากับอะเกะชิที่เขาหลงเสน่ห์ติดตามแจขนาดนั้นก็ค่อย ๆ ห่างเหินไปตามลำดับ