“เบื้องหลังอำนาจของผู้ชายมักมีผู้หญิงที่ยิ่งใหญ่” คำกล่าวนี้เป็นจริงสำหรับผู้นำหลายประเทศ รวมทั้ง นายชินโซ อะเบะ นายกฯญี่ปุ่น ผู้ซึ่งก้าวจากจุดตกต่ำหวนคืนสู่จุดสูงสุดแห่งอำนาจได้โดยการสนับสนุนจากภรรยาคู่ใจ
นางอากิเอะ อะเบะ ภรรยาของนายกฯ ชินโซ อะเบะ ได้เปิดเผยภาพถ่ายในวันวานผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า “ปีหน้าจะครบรอบ 30 ปี ที่แต่งงานมา ตระกูลอะเบะ จากความไม่ประสีประสา ฉันได้รับการดูแลจากทุกคน ขอขอบคุณอย่างยิ่ง”
นายชินโซ อะเบะ เป็นผู้นำที่สร้างสีสันให้กับญี่ปุ่นมากที่สุดคนหนึ่ง เขาสามารถนำพาพรรค LDP ชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น จนมีแนวโน้มจะอยู่ในตำแหน่งผู้นำญี่ปุ่นไปอีกนานหลายปี หากแต่เส้นทางอำนาจของนายอะเบะจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากขาดการสนับสนุนจากภรรยาคู่ใจ
อากิเอะ อะเบะ ภริยาของนายกรัฐมนตรี ชินโซ อะเบะ เป็นสุภาพสตรีหมายเลข 1 ที่แหวกธรรมเนียมของแดนอาทิตย์อุทัย ที่ปกติแล้วภริยาจะเป็นเพียงแม่บ้านแม่เรือนเท่านั้น แต่เธอได้มีบทบาททัดเทียมกับสามี และช่วยเหลือผู้นำตระกูลเพื่อฝ่าฟันวิกฤต
อากิเอะ อะเบะ เป็นคุณหนูจากครอบครัวเจ้าของกิจการผลิตขนมรายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น เธอได้รับการศึกษาในโรงเรียนคอนแวนต์ของศาสนาคริสต์คาทอลิก จึงทำให้เธอแตกต่างจากสาวญี่ปุ่นอนุรักษนิยมทั่วไป หลังจบการศึกษาอากิเอะทำงานในบริษัทโฆษณาชื่อดังของญี่ปุ่น จากนั้นผันตัวมาเป็นดีเจนักจัดรายการวิทยุในนาม “ดีเจ เอ้กกี้” และมีแฟนคลับติดตามจำนวนมาก
หลังแต่งงานกับนักการเมืองตระกูลดังอย่างนายชินโซ อะเบะ เธอเป็น ”จิ๊กซอว์” สำคัญที่เติมเต็มรัศมีทางการเมืองของนายอะเบะจนได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดทางการเมือง นายชินโซ อะเบะ มีบุคลิกเงียบขรึม ขาดอารมณ์ขันในการพูด ซ้ำยังไม่ค่อยดื่มเหล้า ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนสำคัญของนักการเมืองญี่ปุ่น
นางอากิเอะ ได้ใช้วาทศิลป์ของเธอช่วยสามีหาเสียง และยังเป็น “สาวคอทองแดง” ช่วยดื่มเหล้าแทนสามีด้วย ความชื่นชอบในสุรา ทำให้เธอเปิดร้านเหล้าแห่งหนึ่งขึ้นใจกลางกรุงโตเกียว เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก จนทำให้เธอต้องวางมือจากกิจการ เพราะเกรงจะกระทบกับภาพลักษณ์สุภาพสตรีหมายเลข 1
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่า นายชินโซ อะเบะ อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ไม่ถึงหนึ่งปี ก็ประกาศลาออก โดยอ้างเหตุผลเรื่องสุขภาพ แต่เหตุผลที่แท้จริงนั้นไม่มีใครรู้ได้นอกจากตัวนายอะเบะเท่านั้น
ความล้มเหลวในการเป็นผู้นำประเทศทำให้นายอะเบะเจ็บช้ำ แต่ด้วยการสนับสนุนจากภรรยาคู่ใจ ทำให้เขายืนหยัดขึ้นอีกครั้ง และทวงคืนศักดิ์ศรีด้วยการนำพรรค LDP ชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายและก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 คนแรกของญี่ปุ่น
แต่ทว่าการกลับมาครั้งนี้ นายอะเบะได้เปลี่ยนท่าทีและแนวนโยบายไปอย่างมาก ตั้งแต่นโยบายอัดฉีดเงินมหาศาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่เรียกว่า “อะเบะโนมิกส์” จนถึงนโยบายการเมืองที่แข็งกร้าว และทำให้ความสัมพันธ์กับระหว่างญี่ปุ่นกับเพื่อนบ้านตึงเครียดมากที่สุดในรอบกว่า 10 ปี
ถึงแม้ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด ทำให้ผู้นำญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ มองหน้ากันไม่ติด แต่ “การทูตหลังบ้าน” ได้มีบทบาทเพื่อหาปูทางฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านอย่างลับ ๆ นางอาอิเอะได้เข้าร่วมงานของสถานทูตจีนและเกาหลีใต้หลายครั้ง เธอบอกว่า เป็นแฟนคลับละครเกาหลี และชื่นชอบดาราหนุ่มสุดหล่ออย่าง “แบยองจุน” ภริยาของผู้นำญี่ปุ่นได้ใช้ “อำนาจละมุน” เพื่อฟื้นสัมพันธ์กับแดนโสมขาว โดยเฉพาะเมื่อประธานาธิบดีเกาหลีเป็นผู้หญิงด้วยกันแล้วก็น่าจะประสานใจกันได้ไม่ยาก
นางอากิเอะ ยังเคยบอกว่าปรารถนาจะพบกับ “นางเผิงลี่หยวน” ภริยาของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน เธอบอกว่า “นางเผิงลี่หยวน เป็นคนสวยและทันสมัย และการสนทนาระหว่างผู้หญิงหลังบ้านจะสะดวกใจมากกว่า เพราะไม่ต้องแบกรับผลประโยชน์ของชาติ”
ถึงแม้ นางอากิเอะ ระบุว่า เธอไม่ต้องการมีอิทธิพลทางการเมืองเหมือนนางฮิลลารี คลินตัน แต่เธอได้แสดงความคิดเห็นและเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองอย่างเปิดเผย ซ้ำความคิดเห็นของเธอในหลายเรื่องยังสวนทางกับสามีผู้เป็นนายกรัฐมนตรี จนถูกเรียกว่าเป็น “ฝ่ายค้านหลังบ้าน”
เธอคัดค้านการใช้พลังงานนิวเคลียร์หลังเหตุการณ์สึนามิถล่มญี่ปุ่น ไม่เห็นด้วยที่ญี่ปุ่นจะเข้าร่วมเขตการค้าเสรี TPP กับสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้เกษตรกรญี่ปุ่นพบกับวิกฤตการแข่งขัน คุณนายอะเบะ ยังสนับสนุนสิทธิของกลุ่มคนรักเพศเดียวกัน และเข้าร่วมกิจกรรมเกย์ พาเหรดในกรุงโตเกียว ซึ่งเป็นท่าทีที่หาญกล้าอย่างยิ่งในสังคมอนุรักษ์แบบญี่ปุ่น
ขณะเดียวกัน นางอากิเอะ ก็ได้เดินทางไปเยี่ยมชาวนาชาวไร่ญี่ปุ่น และมีส่วนสำคัญในการโปรโมตนโยบายฟื้นฟูภาคชนบทของรัฐบาล บทบาทของเธอมีพลังยิ่งกว่ารัฐมนตรีหญิงหลายคนที่นายกฯอะเบะแต่งตั้งด้วยซ้ำ
ถึงแม้จะมีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า บทบาทของสองสามีภรรยาหมายเลข 1 ของแดนซากุระ อาจเป็น “แผนการเมืองเหนือเมฆ” ที่ทั้งคู่แบ่งบทกันเล่นเพื่อครองใจคนญี่ปุ่นทุกกลุ่มชนชั้น แต่สิ่งที่นายกชินโสะ อะเบะ ไม่อาจปฏิเสธได้ ก็คือ หากเขาไม่ได้ลงชื่อเป็นเจ้าของหัวใจของผู้หญิงคนนี้แล้ว ก็คงก้าวมาไม่ถึงวันนี้อย่างแน่นอน