xs
xsm
sm
md
lg

ลีลาศฆาตกรรม จากแฟ้มสืบสวนคดีฆาตกรรมอำพรางยุคปฏิรูปเมจิ(ตอนที่ 3)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพย่านถนนกินซ่าของกรุงโตเกียวถ่ายไว้เมื่อปี 1904 ในสมัยเมจิ
จากบทประพันธ์ของ Ango Sakaguchi (1906-1955)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์

3

ความตื่นเต้นสะเทือนใจอย่างที่สุดทำให้เซเง็น ฮะยะมิหลุดคำทักทายออกมาเป็นสำเนียงชาวใต้ตามกำเนิด สำหรับเขาฆาตกรรมครั้งนี้ร้ายแรงมากจนรู้สึกหายใจติดขัดอึดอัดแน่นหน้าอกแทบทนไม่ได้

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”

นายตำรวจใหญ่อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วบอกว่า

“เรื่องเป็นเช่นนี้แหละครับ มันเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันเลยจริง ๆ และที่ร้ายกาจมากคือนายโกะเฮตายไปต่อหน้าต่อตาผม”

ชินจูโรมองคู่สนทนาด้วยสายตาอ่อนโยน

“คนอื่น ๆ วิ่งกรูไปที่คุณหนูโอะริเอะกันหมด ที่เหลือเห็นจะมีแต่ท่านซึ่งเป็นคู่แต่งแฟนซีคนหามเสลี่ยงเท่านั้นซินะครับ”

“ไม่ทุกคนหรอกคุณ ประมาณหนึ่งในสี่เท่านั้นละมังที่วิ่งกรูเข้าไปที่แม่หนูโอะริเอะ ส่วนที่เหลืออีกสามในสี่นั่นเห็นยืนอยู่กับที่และมองไปทางที่แม่หนูโอะริเอะล้มลง สังเกตการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น”

“ท่านเห็นตอนที่คุณโกะเฮล้มลงไปหรือเปล่าครับ”

“ผมอายคุณจังเลยที่ต้องบอกว่า ผมเองก็มองไปทางแม่หนูโอะริเอะเช่นเดียวกับคนอื่น เลยไม่ได้เป็นพยานรู้เห็นวินาทีที่ฆาตกรลงมือฆ่านายโกะเฮ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เสลี่ยงซึ่งเราช่วยกันหามคนละข้างเสียหลักถลำไปข้างหน้า และพอมองไปก็เห็นนายโกะเฮกุมหน้าอกหรือว่าท้องซวนเซและล้มลงไป ความที่เป็นคนใจเด็ดเดี่ยวถึงจะอยู่ในสภาพเช่นนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยมือข้างที่จับคานเสลี่ยงเอาไว้ ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกถึงความผิดปกติของนายโกะเฮก็เลยวิ่งไปดู ก็พบว่าคนแต่งแฟนซีชุดพระธุดงค์สวมเสื้อคลุมดำรับร่างนายโกะเฮที่กำลังล้มลงไปเอาไว้ทันด้วยมือทั้งสองข้าง ขลุ่ยที่เขาถือมาด้วยตกลงไปที่พื้นดังแก๊ก ตอนหลังเขาถอดหมวกฟางออกถึงรู้ว่าพระธุดงค์รูปนั้นถือคุณคินจิ ทะโดะโคะโระ นักวาดภาพสีน้ำมันนั่นเอง งานคืนนี้มีคนแต่งแฟนซีเป็นพระธุดงค์อยู่อีกคนหนึ่ง เขาคือมะซะฮิโกะ คันดะ พ่อค้าที่มีความสัมพันธ์กับการเมืองครับ”

“หมายความว่าก่อนหน้านั้นไม่มีใครเข้ามาใกล้ผู้ตายเลยหรือครับ”

“ราวสี่ห้านาทีก่อนเกิดเหตุ ท่านนายกเดินมาหานายโกะเฮ ดูเหมือนจะพูดธุระอะไรกัน ผมเห็นนายโกะเฮมองไปทางคุณนายที่กำลังเต้นรำกับท่านทูตฟรังเก็นอยู่ใกล้ ๆ เขาเดินไปถามตอบอะไรกันสองสามคำแล้วกลับมารายงานท่านนายก ผมนึกออกแล้ว ตอนนั้นสีหน้าของนายโกะเฮไม่ค่อยดีเท่าไร”

ชินจูโรพยักหน้า

“เอาละครับ ช่วยพาผมไปที่เกิดเหตุหน่อย”

เซเง็นกำลังจะออกเดินนำหน้าพาชายทั้งสี่ซึ่งรวมถึงจ่าชิกะโซด้วยเข้าไปในห้องจัดงาน แต่ต้องชะงักมองโทระโนะซุเกะอย่างตกใจกับสภาพการแต่งเนื้อแต่งตัวของนักดาบผู้นั้น แล้วบอกอย่างระอาใจว่า

“คุณเข้าไปไม่ได้นะ แต่งตัวไม่เรียบร้อยรองเท้าก็ไม่ใส่ งานคืนนี้มีทูตมากันหลายชาติ ขืนปล่อยให้คุณเข้าไปในงานเป็นต้อเสื่อมเสียชื่อเสียงประเทศเทศชาติแน่”

โทระโนะซุเกะกลั้นหัวเราะไม่ไหวต้องปล่อยพรืดออกมา เพราะนั่นน่าจะเป็นคำพูดของคนที่เห็นสารรูปนายตำรวจใหญ่พูดมากกว่า

“ท่านผู้ว่าการตำรวจแห่งชาติเปลือยอกคาดผ้าเตี่ยวแบบนี้ มันก็เสื่อมเสียชื่อเสียงประเทศชาติเหมือนกันละน่า”

“อ้าว อะไรกันอีกล่ะ ” ชินจูโรเข้ามาไกล่เกลี่ย

“นักสืบย่อมปลอมตัวเป็นอะไร ๆ ได้ทุกอย่าง ยิ่งพรางตาคนอื่นได้แนบเนียนเท่าไรยิ่งดี”

“ดีครับ ดี”

เซเง็นพอใจเมื่อได้ฟังคำของชินจูโร เขาเดินนำหน้าคนทั้งสี่เข้าไปในห้องจัดงาน แขกที่มาในงานพากันเลี่ยงไปจับกลุ่มกันอยู่ที่ผนังรอบ ๆ ตรงกลางห้องจึงว่างโล่ง ร่างไร้วิญญาณของโกะเฮ คะโนในชุดคนหามเสลี่ยงขึ้นเขานอนฟุบอยู่ที่มุมหนึ่ง เสลี่ยงที่เขาแบกมาหลุดจากไหล่ลงไปตะแคงเค้เก้อยู่ข้าง ๆ ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของศพ

ชินจูโรเข้าไปพิจารณาศพ ที่สีข้างของโกะเฮมีมีดสั้นเล่มหนึ่งปักคาอยู่ เป็นมีดสั้นแบบที่ใช้ขว้างจากระยะไกล และ
เนื่องจากมีดฝังเข้าไปในสีข้างจนมิดด้ามเลือดจึงไม่ไหลนองออกมามากนัก

โทระโนะซุเกะมองย้อนทางไปยังทิศที่เขาคิดว่าเป็นที่มาของมีดสั้น

“คนตายล้มลงไปโดยไม่บิดตัวอย่างนี้ มันต้องอยู่ในทิศทางของวงดนตรีแน่”

“ทิศทางอะไรของคุณ”

อิงงะ ฮะนะโนะยะถามเชิงลองภูมิโทระโนะซุเกะ แต่อีกฝ่ายทำท่าดูแคลนเหมือนไม่อยากต่อกรด้วย

“ก็ทิศทางที่คนร้ายขว้างมีดมาน่ะซี นักสืบบ้านนอกสมัครเล่นจะไปรู้อะไร คนร้ายฉวยโอกาสที่ใคร ๆ พากันหันไปสนใจคุณหนูชินจูโรกันหมดขว้างมีดเข้ามา เพราะอย่างนั้นผู้ว่าการตำรวจถึงไม่เห็นตัวคนร้าย และพอรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีก็เห็นผู้ตายกุมสีข้างซวนเซไปข้างหน้าเสียแล้ว”

ฮะนะโนะยะหัวเราะด้วยความดีใจอย่างคนที่เป็นต่อ

“คุณนี่เป็นนักดาบเสียเปล่าช่างไม่รู้กลยุทธ์เชิงดาบเอาเสียเลย รัฐบาลโชกุนมีหน่วยสังหารที่เรียกว่าชินเซ็นงุมิ แต่คุณคงมือไม่ถึงขนาดนั้นแน่”

“กลยุทธ์เชิงดาบอะไร”

“มีดน่ะปายังไงก็ไม่มีวันเข้าไปเสียบจนมิดด้ามได้หรอก ท้องคนนิ่มก็จริงแต่ก็ยังแข็งอยู่บ้างถ้าเทียบกับเต้าหู้นะคุณ”

โทระโนะซุเกะจ้องหน้านักสืบบ้านนอกสมัครเล่นอย่างโกรธ ๆ แต่ก็ทำไว้ท่าว่าไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคนที่เขาคิดว่าไม่มีความสำคัญอย่างนั้น นักดาบร่างใหญ่ยกมือขึ้นกอดอกมองไปทางศพด้วยสายตาที่ดูราวกับมีอะไรอยู่ในใจ ความแรงของมีดที่ขว้างเข้าสู่เป้า จริงด้วย...นั่นเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน แต่คิดว่าใคร ๆ ก็ไม่น่ารู้ มีดถูกขว้างเข้ามาที่สีข้างอย่างเหมาะเหม็งขนาดนั้นใบมีดก็อาจจมลงไปจนมิดก็ได้จะมีอะไรมาก นักสืบบ้านนอกสมัครเล่นมันก็อ้างอะไรข้าง ๆ คู ๆ ไปอย่างนั้นไม่น่าเอาใจใส่

นอกจากโดนมีดแทงเสียบสีข้างแล้วคนตายไม่มีบาดแผลที่อื่นอีก ดูเหมือนว่ามีดสั้นที่ถูกขว้างมาจากที่ใดไม่ปรากฏนั้นได้พุ่งเข้าปลิดชีวิตไปในพริบตาเดียว โกะเฮตาเหลือกลาน อ้าปากราวจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ไม่ทันเปล่งเสียงออกมาก็ล้มลงไปหมอบอยู่กับพื้นและขาดใจตายทันที

แม้แต่คินจิ ทะโดะโคะโระที่กระโดดเข้ามาประคองทันควันก็ยังจับคำพูดของเขาไม่ได้ ชินจูโรคงขอให้ผู้ว่าการตำรวจทำอะไรสักอย่างเพราะเห็นนายตำรวจใหญ่พยักหน้าอย่างแข็งขัน คนหาบแคร่ขึ้นภูเขาเหยียดตัวยืนตรงแล้วแผดเสียงก้องกังวานว่า

“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่าน กรุณากลับไปตรงตำแหน่งที่ท่านยืนอยู่ ณ วินาทีที่คุณโกะเฮ คะโนถึงแก่ความตายคือเมื่อท่านได้ยินเสียงตะโกนแจ้งข่าวร้าย เชิญครับ” เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามเลือกถ้อยคำอย่างพิถีพิถันเพื่อไม่ทำความอับอายขายหน้าให้แก่ประเทศชาติ

เมื่อสังเกตจากที่ยืนของแต่ละคนเมื่อตอนเกิดเหตุ จะเห็นว่าบุคคลสำคัญผู้มีความเกี่ยวข้องกับความลับของประเทศชาติซึ่งได้แก่ ทูตทั้งสอง นายกโทะชิกิ และ เท็นโระกุ เป็นต้นนั้น ทุกคนยืนอยู่ติดผนังห้อง ไกลจากจุดที่โกะเฮล้มลงสิ้นใจตายนักสืบทุกคนกวาดสายตาหามะซะฮิโกะ คันดะในชุดพระธุดงค์เป็นตาเดียวกัน และพบเขายืนเบียดอยู่กับผนังห้องไกลออกไปเช่นกัน

ฮะนะโนะยะถามเซเง็น ฮะยะมิ นายตำรวจใหญ่ด้วยความสงสัยว่า

“ช่วงก่อนหลังที่คุณคะโนจะล้มลงไป คนที่อยู่บริเวณนี้มีคุณทะโดะโงะโระ ในชุดพระธุดงค์คนเดียวหรือครับ”

“ใช่ ในวินาทีที่เกิดเหตุดูเหมือนจะมีพระธุดงค์อยู่ใกล้ ๆ ตรงนี้คนเดียวเท่านั้น”

ศาลเจ้าอะคะงิ

คนในครอบครัวของโกะเฮก็อยู่ในจุดที่ห่างออกไปเช่นกันราวกับนัดกันไว้ อะสึโกะเต้นรำอยู่กับทูตฟรังเก็นตรงหน้าวงดนตรี ซึ่งแม้จะเป็นทิศทางที่มีดถูกขว้างมาแต่ก็ห่างจากจุดเกิดเหตุราว 7 เมตรครึ่ง พระธุดงค์ทะโดะโคะโระ อยู่ตรงกลางระหว่างระยะห่างนั้นและอยู่ใกล้โกะเฮที่สุด เหตุเกิดขณะที่เขากำลังเดินเป่าขลุ่ยผ่านไปตรงนั้นพอดี

คนที่อยู่ใกล้ผู้ตายที่สุดทางด้านตรงข้ามคือมันทะโร เขาพอดีเดินผ่านเข้ามาในระยะห่างจากที่เกิดเหตุราว 3.5 เมตร

“คุณคงกำลังเดินไปหาน้องที่ล้มลงไปซีนะครับ” พอชินจูโรถามเขาก็บอกว่า

“เปล่าหรอกครับ แค่บังเอิญเดินผ่านมาตรงนี้พอดี ผมเข้าใจว่าต้องเกิดอะไรขึ้นเพราะเห็นใคร ๆ เอะอะกัน แต่ไม่รู้หรอกครับว่าน้องเป็นลม”

“คุณเห็นคุณพ่อล้มลงไปหรือเปล่าครับ”

“ตอนคุณพ่อล้มลงไปผมไม่เห็น มาเห็นตอนที่ล้มลงไปแล้วและคุณทะโดะโคะโระ ที่แต่งชุดพระธุดงค์ช่วยประคองขึ้นมาน่ะครับ”

มันทะโนนั้นดูเหมือนว่าจะให้ความเชื่อถือนักสืบเอกที่อายุมากกว่าเขาไม่เท่าไรมากพอดู เขาสบตากับชินจูโรตรง ๆ ทำท่าจะพูดอะไรออกมา แต่แค่อึดใจเดียวก็เบือนออกไป

เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้สอบปากคำแขกที่มาในงานและอนุญาตให้แยกย้ายกันกลับไปได้

จนในที่สุดเหลือก็แต่ผู้ว่าการตำรวจแห่งชาติกับนักดนตรีที่ได้รับคำสั่งให้อยู่ก่อนเท่านั้น

“พวกคุณอยู่บนที่สูงกว่าคนอื่น ๆ มีใครเห็นเหตุการณ์ฆาตกรรมบ้างไหมครับ”

ไม่มีใครตอบ ชินจูโรจึงพยักหน้าและบอกว่า

“คนร้ายฆ่าคนราวกับว่าเขาเป็นหมอกควันที่ทำอะไรโดยไม่มีใครเห็น แต่ผมคิดว่าคงต้องมีใครสักคนที่เห็นวินาทีที่ผู้ตายล้มลงไปนะครับ”

มีคน 3 คน เห็นเหตุการณ์ช่วงที่โกะเฮโซเซไปข้างหน้า แล้วชายในชุดพระธุดงค์กระโดดจากด้านข้างเข้ามาประคองเอาไว้ คนหนึ่งบอกว่า

“ผมเห็นผู้ตายไม่ได้ซวนเซ แต่ทรุดตัวฟุบลงไปข้างหน้า” อีกคนยืนยันว่า

“ใช่ครับ ใช่ ผมก็เห็นอย่างนั้น ยังคิดเลยว่า อ้อ คนหาบแคร่เขาก้มตัวลง ผมคิดแค่นั้นจริง ๆ ไม่ได้เห็นอะไรเป็นพิเศษที่จะทำให้คิดว่า คุณคะโนกำลังจะตาย”

“แต่ตอนที่เขาก้มตัวลงไปเขาทำท่าเหมือนกำลังกอดอะไรไว้ที่หน้าอก”

“หน้าอก? ไม่ใช่ท้องหรือ”

“ไม่ใช่ครับ เขาทำท่าเหมือนกอดอะไรไว้ ผมบอกว่ากอด แต่ความที่ร่างกายท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า จึงไม่น่าจะใช้คำว่ากอด แต่มันเหมือนเอาอะไรมาแนบอกแบบนี้ คือผมก็ไม่ได้เห็นชัด คิดว่านั่นเป็นอาการเจ็บปวดทรมานก่อนตายมากกว่า

คำให้การของพยานรู้เห็นมีเพียงเท่านี้

ชินจูโรปล่อยนักดนตรีกลับไปแล้วเรียกคนรับใช้ชายหญิงและเสมียนที่มีอยู่ 20 กว่าคนมาชุมนุมกัน และถามว่ามีใครรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่ผิดแผกไปจากธรรมดาบ้างไหม ก็ปรากฏว่าไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดแปลกใด ๆ นอกจากมีคนจำได้ว่าหญิงรับใช้คนหนึ่งชื่อโอะคินุกลับมาช้าแล้วพึมพำอะไรที่ฟังดูเป็นปริศนาเกี่ยวกับโกะเฮ

โอะคินุทำหน้าแดงก่อนบอกว่า

“ดิฉันจำได้ไม่ค่อยแม่นยำนัก ท่านพูดออกมาว่าถูกผีหลอก” พอพูดออกไปแล้วโอะคินุก็ต้องหัวเราะกับคำพูดของตนเอง

“ท่านพูดอย่างนั้นจริง ๆ ค่ะ แล้วยังบอกอีกว่าไม่นึกเลยว่าเจ้านั่นยังมีชีวิตอยู่”

“ท่านกลับมาที่คฤหาสน์นี้กี่โมงครับ”

“ท่านกลับมาหลังจากที่แขกมากันเป็นส่วนใหญ่แล้ว พอมาถึงท่านก็ให้ตักข้าวแล้วทานข้าวซาวน้ำชาสามถ้วย ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะเวลารีบ ๆ ท่านจะทานแบบนั้นเสร็จในชั่ว 1 ถึง 2 นาที หลังจากนั้นท่านก็ไปสวมชุดแฟนซีเป็นคนหามแคร่ขึ้นภูเขา อนิจจาใครจะรู้ว่าหลังจากนั้นไม่ถึง 30 นาที จะต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น”
ลูกบ๊วยดอง “อุเมะโบะชิ” ในไหลักษณะนี้จะพบได้ในครัวบ้านญี่ปุ่นทั่วไป
ชินจูโรเรียกหาคนลากรถ

“ท่านเจ้าของบ้านกลับช้า คุณพาท่านไปที่ไหน”

“ไปร้านยูสึกิแห่งคะระซุโมะริครับ ผมไม้รู้เหมือนกันว่ามีธุระอะไร แต่ตอนกลับท่านพูดว่า ไม่คิดว่าจะเป็นการเล่นตลกของใคร แต่ถ้ายังมีชีวิตอยู่ทำไมถึงไม่มาล่ะ ไม่น่ามีเหตุผลว่าทำไมถึงไม่มา แล้วบอกกับหญิงเจ้าของร้านยูสึกิว่า ถ้ามีใครเห็นคน ๆ นั้นให้ส่งคนไปบอกท่านด้วย”

เมื่อเสร็จจากการสอบปากคำ และทุกคนกำลังจะกลับ หญิงสาวผู้งดงามสดใสราวดอกไม้ปรากฏตัวออกมาจากเงาสลัวของขั้นบันไดที่ทอดขึ้นไปสู่อาคารจัดงาน หล่อนก้าวเข้ามาเผชิญหน้าอย่างอาจหาญ ดวงตาจ้องจับไปที่ชินจูโร

“คุณคือนักสืบเอกผู้ยิ่งใหญ่หรือ”

ชินจูโรหัวเราะทั้งที่นัยตาพร่าพราย

“คุณรู้ตัวฆาตกรหรือยัง” หญิงสาวถามเชิงรุก

“น่าเสียดายครับที่ยังคลำหาเงื่อนงำไม่พบเลย”

หญิงสาวตาลุกวาวเมื่อได้ยินชินจูโรตอบเรียบ ๆ

“ดิฉันเป็นล้มไปเลยไม่เห็นการตายของคุณพ่อ ดูเหมือนว่าคุณทะโดะโคะโระมราแต่งเป็นพระธุดงค์จะเข้าไปช่วยประคอง”

“จริงอย่างที่คุณหนูว่าครับ”

“ดิฉันคิดว่าต้องมีความลับอะไรแฝงอยู่กับพระธุดงค์แน่ คนโบราณก็กล่าวกันไว้อย่างนั้น คุณสืบหาความลับในแนวนี้น่าจะดีกว่า ไปคุยกับตาเฒ่ายะคิชิ คนงานในบ้านของเราซิคะ”

โอะริเอะพูดทิ้งเอาไว้แค่นั้น เธอทำท่าตระหนกกับคำพูดของตนเอง แล้วหลบหน้าหนีไปทันที”

“คุณคนนี้เองคือคุณหนูที่เป็นลมล้มลงไปกลางงาน เป็นลมไปเพราะงูในคนโทน่ะนะ”

ชินจูโรพึมพำพลางครุ่นคิด และดูเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ทันควัน

“มันทะโรพี่ชายก็ทำท่าเหมือนอยากบอกอะไรเหมือนกัน ผมมองว่าสองคนพี่น้องนี่คงมีอะไรที่อยากจะบอก ถ้างั้นเราเรียกตาเฒ่ายะคิชิ มาคุยกันก่อนท่าจะดี”

ตาเฒ่ายะคิชิอายุราว ๆ 60 ปีเป็นคนเก่าแก่ที่สุดของครอบครัวนี้ ทำงานด้วยความจงรักภักดีที่มีต่อมารดาแท้ ๆ ของโอะริเอะผู้ล่วงลับไปแล้วด้วยโรคร้าย

“คุณตาแย่เลยนะคราวนี้ เหตุการณ์ครั้งนี้เลวร้ายเหลือเกิน คุณตาคงจะสะเทือนใจมากเลยนะ คุณหนูบอกให้ผมมาถาม ตาแล้วก็รีบหนีไปท่าทางวิตกกังวลมากเลย คุณทะโดะโคะโระ นักวาดภาพสีน้ำมันที่กลับจากนอกคนนั้นมีอะไรลึกลับหรือตา”

ตาเฒ่ายะคิชิจ้องหน้าชินจูโรเขม็งก่อนถามว่า

“คุณหนูโอะริเอะให้มาถามผมหรือ”

“ใช่ คุณหนูพูดอย่างชัดเจนเลย”

ตาเฒ่าพยักหน้าช้า ๆ ขณะจ้องมองชินจูโรด้วยสายตาคนกริบ

“ผมบอกให้ก็ได้ว่าคุณทะโดะโคะโระ เป็นคู่รักของภรรยาบ้านนี้ และไม่ใช่ว่ารักชอบกันมาแค่เมื่อวานนี้วันนี้ แต่มีความสัมพันธ์กันมาตั้งแต่ก่อนที่คุณทะโดะโคะโระ จะไปเมืองนอกเสียอีก คุณหนูเรียวซุเกะลูกชายคนเดียวของนางนั่นเทพเจ้าและพระพุทธเท่านั้นที่รู้ว่าเป็นลูกใคร”

พูดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของตาเฒ่ายะคิชิวาวขึ้นด้วยความโกรธราวกับจะลุกเป็นไฟ และเมื่อพูดจบแกก็ก้มหัวทำความเคารพแล้วไปจากที่นั่นอย่างรีบเร่งราวกับหายตัวไป

ทุกคนถอนหายใจออกมาพร้อม ๆ กัน

นายตำรวจใหญ่ใช้นิ้วแยงเข้าไปในรูหู

“ไม่นึกเลยว่าจะได้ฟังเรื่องแย่ ๆ แบบนี้ เวลาอย่างนี้ไม่อยากมีหูเลยให้ตายเถอะ โอ้ย แสบจริง ๆ”

ช่างเป็นผู้ว่าการตำรวจที่จิตใจอ่อนแอเสียเหลือเกิน

ชินจูโรกำลังจะกลับอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาเดินกลับไปยังที่พักของพวกสาวใช้ และเรียกโอะคินุออกมาพบ แล้วจัดฉากจำลองทบทวนพฤติกรรมของโกะเฮผู้ตาย ตั้งแต่กลับเข้าบ้านทางประตูหลัง กินข้าว 3 ถ้วย แต่งชุดแฟนซีเป็นคนหามแคร่ขึ้นภูเขา แล้วเข้าไปในงาน

“ท่านไม่ได้ดื่มเหล้าสาเกหรือ”

“เปล่าค่ะ แต่ท่านเป็นคนดื่มจัดมาก”

“แปลกนะ ที่กินข้าวซาวน้ำชาตั้งสามถ้วยก่อนเข้างาน ทั้ง ๆ ที่เดี๋ยวก็จะได้ดื่มเหล้าดี ๆ แล้ว”



(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ลูกกลม ๆ แขวนที่ชายคาเป็นสัญลักษณ์ของโรงกลั่นสุรา
กำลังโหลดความคิดเห็น