นายกฯชินโซ อะเบะ เปิดเผยว่าต้องการช่วงชิงเสียงส่วนใหญ่ 2 ใน3ของรัฐสภาเพื่อปูทางสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยพร้อมจะยุบสภาก่อนกำหนด รวมทั้งเลื่อนการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มออกไป หากช่วยให้รัฐบาลได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง
นายชินโซ อะเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ยอมรับในระหว่างการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างงบประมาณเมื่อสัปดาห์นี้ว่า “เป็นไปไม่ได้ที่พรรคร่วมรัฐบาลจะได้เสียงข้างมาก 2ใน3ของรัฐสภา จึงจำเป็นต้องหาแนวร่วมจากพรรคโอซากา อิชิน ซึ่งเป็นฝ่ายค้านเพื่อให้สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญ และนำไปสู่การทำประชามติได้”
การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผู่นำญี่ปุ่นต้องการนั้น ครอบคลุมถึงการเปิดทางให้กองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นสามารถมีบทบาทมากขึ้น ซึ่งถูกมองว่าเป็นการฟื้นฟูกองทัพญี่ปุ่นเพื่อรับมือภัยคุกคามจากเพื่อนบ้านอย่างจีนและเกาหลีเหนือ เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันซึ่งบังคับใช้มาตั้งแต่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกกำหนดว่าญี่ปุ่นไม่สามารถมีกองทัพได้
พรรคเสรีประชาธิปไตยซึ่งเป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลครองที่นั่งส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร แต่ไม่ได้ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ดังนั้นพรรคเสรีประชาธิปไตยจึงมุ่งหวังมานานแล้ว ที่จะได้ครองที่นั่งข้างมากในวุฒิสภาอีกครั้ง
ยุทธศาสตร์หนึ่งที่กำลังถูกจับตามองคือ นายอะเบะอาจประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรก่อนกำหนด เพื่อให้มีการเลือกตั้งทั้ง 2 สภาพร้อมกันในศึกเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในฐานะพรรครัฐบาลที่ควบคุมการเลือกตั้ง
นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นยังอาจตัดสินใจเลื่อนการขึ้นภาษีผู้บริโภคจากร้อยละ 8 ในปัจจุบันเป็นร้อยละ 10 ออกไปอีก จากกำหนดการเดิมที่ต้องขึ้นภาษีในเดือนเมษายนปีหน้า ซึ่งการตัดสินใจของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นการเดินหน้าปรับขึ้นภาษีตามกำหนดเดิม หรือเลื่อนออกไปอีกครั้งล้วนแต่เกี่ยวพันกับการตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎร
แกนนำพรรครัฐบาลหลายคนยังเรียกร้องให้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อเรียกคะแนนนิยมจากประชาชน ที่เริ่มเสื่อมความเชื่อถือจากนโยบาย “อะเบะโนมิกส์” และเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นมาก ทำให้รายได้ของบริษัทญี่ปุ่นที่มีฐานการผลิตในต่างประเทศรวมทั้งการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างมาก
ศึกเลือกตั้งวุฒิสภาญี่ปุ่นในกลางปีนี้จึงเป็นการชี้ชะตารัฐบาลของนายอะเบะ เนื่องจากพรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่นและพรรคนวัตกรรมญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านได้ประกาศยุบรวมพรรคเพื่อสู้ศึกเลือกตั้ง โดยแนวร่วมพรรคฝ่ายค้านจะส่งผู้สมัครร่วมกันใน 32 เขตเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว เพื่อแข่งขันกับพรรครัฐบาลแบบตัวต่อตัวโดยตรง.