xs
xsm
sm
md
lg

คลื่นเด่นภาพดัง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์

ภาพ Kanagawa oki nami ura
ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์
Tokyo University of Foreign Studies


เย็นวันศุกร์ ร้านสหกรณ์ใกล้จะปิด ผมวิ่งลงจากชั้น 5 เพราะลิฟต์ที่มหาวิทยาลัยช้ามาก วิ่งค่อนข้างเร็วทีเดียว แต่พอจะสวนกับนักศึกษา ก็ชะลอลงนิด สงวนท่าสุขุมไว้หน่อย รีบเพราะกลัวจะไปไม่ทันซื้อแฟ้มกับสมุดเพื่อเตรียมตัวไปประชุมวิชาการที่เกาหลีใต้ ด้วยตระหนักว่าไปงานแบบนี้ควรหาอุปกรณ์ไปจัดระเบียบเอกสารและจดอะไรเสียหน่อย

พอก้าวเข้าร้านก็นึกได้ว่า อืม...ไม่ได้ซื้อสมุดมาหลายปีแล้ว ระยะหลังๆ นี่จะจดอะไรก็ใช้แต่กระดาษ A4 เข้าร้านวันนี้ได้ของดีที่เมื่อหลายปีก่อนไม่เคยรู้ว่ามันมีความลุ่มลึกซ่อนอยู่ ตอนนี้คว้าขึ้นมาทันทีที่เห็นเพราะรู้แล้วว่ามีที่มาอย่างไร แฟ้มกับสมุดที่อยู่ในมือทำให้เกิดความรู้สึกที่ชวนให้นึกถึงเมื่อสมัยที่ซื้อเทปคริสติน่า อากีล่าร์อัลบั้มนินจาเมื่อ 20 กว่าปีก่อน คือตื่นเต้นอยากรีบแกะออกมาดูและเปิดฟัง ต่างกันตรงที่ว่าแฟ้มกับสมุดนี่ไม่มีเสียงและควรจะปิดมันไว้ เพราะลายมันอยู่ที่หน้าปก

ได้มาแล้ว แต่ถ้าเล่าให้ใครฟัง คนฟังอาจนึกว่าแค่สมุดกับแฟ้ม...จะอะไรกันนักหนา?

ถ้าเป็นสมุดทั่วไป ผมก็คงไม่นักไม่หนาอะไร สิ่งที่เป็นจุดขายมากกว่าเนื้อในคือลายบนปกนั่นเอง จำได้ว่าเมื่อนานมาแล้วเคยซื้อแฟ้มลายนี้มาใช้โดยที่ไม่ได้รู้ภูมิหลังใดๆ เกี่ยวกับลาย เห็นรูปคลื่นสีฟ้าสีน้ำเงินสะดุดตา ไปไหนๆ ก็ได้เห็นภาพนี้ปรากฏบนสินค้าบ้าง บนป้ายโฆษณาบ้าง จนเจนตา ตอนนั้นเข้าใจว่าคงเป็นสัญลักษณ์อะไรอย่างหนึ่งของญี่ปุ่น จึงซื้อแฟ้มลายนี้มาใช้ เมื่อเวลาผ่านไป แฟ้มก็ยับและเยิน จึงได้เวลาโยนทิ้ง พอแฟ้มจากไป ถึงได้มารู้ในภายหลังว่าลายค

คลื่นโดดเด่นบนแฟ้มคือภาพของญี่ปุ่นที่ดังระดับโลก ภาษาอังกฤษตั้งชื่อเรียกว่า The Great Wave off Kanagawa (แปลว่า “มหาคลื่นนอกคะนะงะวะ”)
02แฟ้มและสมุดที่นำภาพ Kanagawa oki nami ura มาเป็นจุดขาย
แฟ้มเก่าไม่อยู่แล้ว คราวนี้ได้แฟ้มใหม่ลายเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือสมุดและความรู้เกี่ยวกับลาย ความรู้สึกในฐานะผู้ใช้ตอนนี้คือภูมิใจ เพราะมันคือความคลาสสิก ความน่าสนใจ ความแพร่หลาย ตลอดจนประวัติศาสตร์และสัญลักษณ์ของญี่ปุ่น เมื่อรู้แล้วทำให้ใช้อย่างทะนุถนอมและพร้อมที่จะเล่าให้ใคร ๆ ฟังว่าภาพนี้มีความหมาย

ชื่อภาษาญี่ปุ่นของภาพนี้ คือ “คะนะงะวะโอะกิ นะมิ อุระ” (神奈川沖浪裏; Kanagawa oki nami ura) แปลว่า “หลังคลื่นที่เงื้อมทะเลคะนะงะวะ” นี่ไม่ใช่ภาพเขียน แต่เป็นภาพพิมพ์ และเป็นภาพพิมพ์แกะไม้ของญี่ปุ่น เรียกว่า “อุกิโยะเอะ” (浮世絵;ukiyo-e) ซึ่งเป็นศิลปะที่นิยมผลิตกันมากในสมัยเอะโดะ (江戸;Edo; พ.ศ. 2143 - 2411) ผู้สร้างสรรค์คือคะสึชิกะ โฮะกุไซ (Katsushika Hokusai; 葛飾北斎 ; พ.ศ. 2303 - 2392) ซึ่งถือว่าเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น คำว่า “คะนะงะวะโอะกิ” หมายถึง พื้นที่ทะเลที่ห่างจากริมชายฝั่งของจังหวัดคะนะงะวะออกไปลิบ ๆ (ผมเรียกสั้น ๆ ว่าเงื้อมทะเลคะนะงะวะ) ส่วน “นะมิอุระ” คือ หลังคลื่น หลายคนเข้าใจผิดคิดว่านี่คือภาพคลื่นสึนามิ สาเหตุอาจมาจากชื่อภาษาอังกฤษที่ใช้คำว่า The Great Wave ซึ่งจริงๆ แล้วในชื่อภาษาญี่ปุ่นระบุไว้แค่ “นะมิ” หรือ “คลื่น” ไม่มีคำว่า “คลื่นสึนามิ” ภาพมีขนาดประมาณ 26 x 38 เซนติเมตร

สิ่งที่สะดุดตาที่สุดในภาพคงเป็นคลื่นที่ม้วนตัว ผมก็มองเห็นแต่คลื่นม้วนๆ ลูกนั้นมาหลายปี ไม่ได้สังเกตอย่างอื่น จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อนั่งเพลินๆ แล้วกวาดตามองจนทั่ว ถึงได้เห็นว่ามีภูเขาทางด้านหลังด้วย นั่นคือภูเขาฟุจิ เมื่อมองละเอียดลงไปอีก จะเห็นว่ามีเรืออยู่ 3 ลำ และมีคนอยู่ในเรือ ภาพนี้พิมพ์เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1830 – 1833 เป็นภาพหนึ่งในชุด “สามสิบหกทัศนียภาพภูเขาฟุจิ” หรือ “ฟุงะกุ ซันจู รกเก” (富嶽三十六景; Fugaku sanjūrokkei) คำว่า “ฟุงะกุ” คือชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งของ “ฟุจิซัง” หรือ “ภูเขาฟุจิ”

กล่าวได้ว่านี่คือผลงานของโฮะกุไซที่แพร่หลายที่สุดในโลก และเป็นภาพจากญี่ปุ่นที่รู้จักกันกว้างขวางที่สุดในโลกตะวันตกมาตั้งแต่อดีต นอกจากที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติโตเกียวแล้ว ภาพนี้ก็มีอยู่ในพิพิธภัณฑ์ดัง ๆ หลายแห่งของโลกด้วย ทั้งในอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส

ทาง BBC ได้ร่วมมือกับพิพิธภัณฑ์อังกฤษ (British Museum) ผลิตรายการด้านประวัติศาสตร์โดยใช้ชื่อว่า A History of the World in 100 Objects จำนวน 100 ตอน ออกอากาศเมื่อปี 2553 ได้รับความนิยมและคำชื่นชมอย่างสูง หนึ่งในตอนที่นำเสนอคือ Hokusai’s The Great Wave ซึ่งเป็นการหยิบยกผลงานนี้ขึ้นมาอธิบายเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น

(รายการตอนนี้ยังสามารถรับฟังได้ http://www.bbc.co.uk/radio/player/b00v72n6 [ภาษาอังกฤษ] )

คนฝั่งตะวันตกมองว่าผลงานนี้สะท้อนภาพของญี่ปุ่นในยุคนั้นได้ดี โดยตีความว่าคลื่นที่กำลังปั่นป่วนบ่งบอกความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นกับญี่ปุ่น เรือลำน้อยกับผู้คนบนนั้นกำลังเผชิญความผันผวน และ พยายามจะฝ่าฟันไปให้ได้

จากเนื้อหาภาษาอังกฤษในรายการของ BBC สรุปการตีความโดยสังเขปได้ดังนี้ คือ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นเคยปิดประเทศราว 200 ปี อันที่จริงก็ปิดไม่ทั้งหมด แต่เปิดให้ชาวดัตช์และจีนค้าขายกับญี่ปุ่นได้บ้าง โดยจำกัดสถานที่ไว้ที่นางาซากิ ให้เข้าออกผ่านทางเดะจิมะซึ่งเป็นเกาะที่มนุษย์สร้างขึ้น โลกตะวันตกในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ก็เริ่มเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้น ประเทศที่แข็งแกร่งในด้านอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอังกฤษและอเมริกา พยายามแสวงหาตลาดและวัตถุดิบจากแหล่งใหม่ การแผ่อิทธิพลลามมาถึงญี่ปุ่น จนในที่สุดญี่ปุ่นจำต้องเปิดประเทศ โฮะกุไซเองก็คงรู้สึกได้ถึงบรรยากาศช่วงนั้น และถ่ายทอดออกมาเป็นภาพพิมพ์

เมื่อมองในภาพที่มีขนาดเล็กกว่ากระดาษ A3 นี้ จะเห็นเฉดสีอ่อนจางเป็นสีเหลือง เทา และชมพู แต่โดยรวมแล้วสีที่ทรงพลังที่สุดคือสีน้ำเงิน ดูเด่นสะดุดตากว่าปกติ นี่ไม่ใช่สีน้ำเงินแบบญี่ปุ่น แต่เป็นสีน้ำเงินเปอร์เซียหรือน้ำเงินเบอร์ลิน ซึ่งได้รับการนำเข้ามายังญี่ปุ่น อาจจะโดยตรงผ่านทางพ่อค้าดัตช์ หรือผ่านจีน ศิลปะการถ่ายทอดมุมมองในภาพนี้ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก สันนิษฐานได้ว่าโฮะกุไซศึกษาศิลปะของตะวันตกและนำมาบรรจุลงในผลงานของตน ซึ่งได้แก่การทำให้ภาพภูเขาฟุจิอยู่ในระยะไกล จึงถือว่าเป็นงานที่มีการผสมผสานองค์ประกอบของญี่ปุ่นกับของตะวันตกเข้าด้วยกัน BBC แสดงทัศนะว่า “จึงไม่น่าแปลกใจที่ภาพนี้เป็นที่ชื่นชอบอย่างยิ่งในยุโรป เพราะนี่คือผลงานจากแดนอื่นในเชิงเทียบเคียง ไม่ใช่ผลงานแปลกหน้าไปเสียทั้งหมด” และตีความต่อไปอีกว่า นัยของภาพนี้คือ ญี่ปุ่นไร้ที่ยืนอันมั่นคง แต่กำลังถูกกระแสโลกซัดสาดอย่างหนัก ตกอยู่ในคลื่นใหญ่ ตกอยู่ในอันตราย

ปี ค.ศ.1853 และ 1854 พลเรือจัตวาแมตทิว เพร์รี (Commodore Matthew Perry) จากสหรัฐอเมริกาคุมเรือมาบังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ ญี่ปุ่นจึงเข้าสู่กลไกของกระแสโลก ภาพพิมพ์ของญี่ปุ่นแพร่ออกไปสู่โลกตะวันตก และเป็นที่ชื่นชอบของศิลปินหลายคน รวมทั้ง ฟินเซนต์ วิลเลิม ฟัน โคค (แวนโก๊ะ; ดัตช์) และโกลด มอแน (ฝรั่งเศส) บัดนี้ศิลปินญี่ปุ่นผู้ได้รับอิทธิพลจากภาพของยุโรปกลับกลายเป็นผู้ส่งอิทธิพลต่องานของศิลปินยุโรป

ผมฟังรายการของ BBC จนจบแล้ว จึงได้รู้ที่มาของภาพนี้หลังจากที่คุ้นตามานานหลายปี และคราวนี้ได้ซื้อแฟ้มกับสมุดลายคลื่นมาไว้ในครอบครองด้วยความรู้สึกที่ต่างไปจากครั้งแรก

ต่อมาก็ได้ฟังอีกรายการหนึ่งเกี่ยวกับภาพนี้เป็นภาษาไทย เป็นที่น่ายินดีที่ผู้ผลิตรายการทางญี่ปุ่นได้เลือกงานศิลปะชิ้นนี้ขึ้นมานำเสนอเช่นกัน NHK World Radio Japan ภาคภาษาไทย (ซึ่งผมเป็นผู้ดำเนินรายการคนหนึ่ง แต่ไม่ได้ทำรายการตอนนี้) จัดทำรายการโดยใช้ชื่อตอนว่า “คลื่นมหึมานอกชายฝั่งคะนะงะวะโดยคะสึชิกะ โฮะคุไซ” และออกอากาศเมื่อต้นปี 2558 จากเนื้อหารายการ พบว่ามุมมองทางฝั่งญี่ปุ่นคล้ายคลึงกับฝั่งตะวันตก แต่นำเสนอรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันออกไปบ้าง โดยเฉพาะเรื่องการลงลึกว่าด้วยภูมิหลังของผลงานและทัศนะของคนทั่วไปที่ได้ชม

(รายการตอนนี้ยังสามารถรับฟังได้ http://www.nhk.or.jp/japan-art/th/archives/150122/ [ภาษาไทย] )

แล้วผมก็จะถือแฟ้มกับสมุดลายคลื่นญี่ปุ่นไปเกาหลีใต้ด้วยความทะนุถนอม พร้อมกับความอิ่มใจและภูมิใจว่านี่ไม่ใช่ ‘ภาพงั้นๆ’ แต่เป็นภาพเชื่อมโลกสองฝั่งที่โด่งดังและมีความเป็นอินเตอร์มาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว

สำหรับท่านที่คิดว่าเพิ่งเคยเห็นภาพนี้ ลองนึกดูดีๆ และดูภาพเหล่านี้เป็นตัวอย่างส่วนหนึ่ง แล้วจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนได้อิทธิพลจากภาพ “หลังคลื่นที่เงื้อมทะเลคะนะงะวะ” ทั้งสิ้น
(ภาพตัวอย่างการนำคลื่นญี่ปุ่นไปประยุกต์ใช้ 1)  ระบบปฏิบัติการบนสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์
(ภาพตัวอย่างการนำคลื่นญี่ปุ่นไปประยุกต์ใช้ 2)  ยี่ห้อเสื้อผ้า
(ภาพตัวอย่างการนำคลื่นญี่ปุ่นไปประยุกต์ใช้ 3)  เครื่องหมายศูนย์ข้อมูลคลื่นสึนามิของยูเนสโก
(ภาพตัวอย่างการนำคลื่นญี่ปุ่นไปประยุกต์ใช้ 4)  ตราสัญลักษณ์กูเกิล
**********

คอลัมน์ญี่ปุ่นมุมลึก โดย ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์ แห่ง Tokyo University of Foreign Studies จะมาพบกับท่านผู้อ่านโต๊ะญี่ปุ่น ทุกๆ วันจันทร์ ทาง www.manager.co.th

กำลังโหลดความคิดเห็น