xs
xsm
sm
md
lg

บ้า-ปกติ-อัจฉริยะ “เป็กกี้ ศรีธัญญา” จากเด็กไร้บ้าน สู่ดาวโชว์ชื่อดัง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


"บ้า-ปกติ-อัจฉริยะ" ไม่ว่าคุณจะขนานนามเธอด้วยถ้อยคำแบบไหน แต่เรื่องราวความเป็นมาของเธอคนนี้ ยิ่งกว่าคำว่า “ไม่ธรรมดา” จะอธิบายได้ จากเด็กสาววัยสิบหกที่สูญสิ้นทุกสิ่งอย่าง ไม่เว้นกระทั่งแม่ผู้ให้กำเนิด เธอแจ้งเกิดอย่างภาคภูมิด้วยพลังความฝันและมุ่งมั่นในตน จนปัจจุบัน ผู้คนต่างยอมรับกันสนิทใจ นี่คือดาวเด่นเดือนฉายดวงหนึ่งซึ่งวิ่งออกมาจากความขมขื่น สู่โลกแห่งการสร้างความครื้นเครง รอยยิ้มและเสียงหัวเราะแห่งความสุข แก่คนจำนวนมาก

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
เราขอนำทุกท่านทำความรู้จักอย่างถึงแก่น
กับชีวิตและตัวตนความคิดของผู้หญิงคนหนึ่ง
ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าเธอเพี้ยนหรือบ้า สมดังฉายาที่ได้รับ
แต่นี่แหละ เป๊กกี้ ศรีธัญญา ที่ต่อให้บ้า ก็บ้าแบบดีๆ จนได้ดี!


เปลี่ยนพลังลบให้เป็นพลังบวก
เพราะชีวิตย่อมมีอุปสรรค

"เพราะการที่เราหันกลับไปแล้วมองเห็นความลำบากในวันนั้น ทำให้เราคิดว่าเราจะต้องไม่กลับไปลำบากอีก มันอำมหิตมาก เราก็เลยทำทุกอย่างให้ชีวิตสุขสบายด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของเราเอง" ดาวโชว์คนดังเจ้าของฉายา “เป๊กกี้ ศรีธัญญา” หรือในชื่อจริง “ดรุณี สุทธิพิทักษ์” เปิดฉากสนทนาถึงเหตุผลที่ทำให้เธอลุกขึ้นสู้ จากคนไม่มีอะไร...เหลือ ทั้งรังนอนหมอนมุ้งที่อยู่อาศัย ปัจจัยประทังชีวิต ไร้ญาติขาดมิตร ดำรงชีวิตเพียงลำพังตั้งแต่อายุ 16 ปี

"คือตั้งแต่จำความได้ เราก็อยู่กับคุณแม่สองคน คุณแม่เป็นซิงเกิ้ลมัมรุ่นแรก (ยิ้ม) เลี้ยงเรามาคนเดียว ไม่รู้ว่าใครคือคุณพ่อ ไม่เคยเห็นหน้า แม้แต่รูปก็ไม่มี เวลาถามคุณแม่ คุณแม่เขาก็จะเศร้าๆ เราก็เลยไม่อยากจะถามเยอะ แต่คำตอบที่ได้จากคุณแม่ก็คือคุณพ่อเสียชีวิตเพราะเส้นเลือดฝอยในสมองแตก ไม่รู้ว่าจริงไม่จริงอย่างไร

"อีกอย่าง คุณแม่ก็ปลีกตัวจากครอบครัวย้ายไปอยู่สุโขทัย เราก็เกิดที่นั่น ก็เลยมีแค่เรากับแม่ ก็อยู่ๆ อยู่กันมา ด้วยความสมบูรณ์พูนสุขตามปกติที่แม่จะพึงให้ลูกได้ จนมาวันที่คุณแม่เสียชีวิต...”

"นั่นแหละจุดพลิกผัน" ดาวโชว์ผู้สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ พลันสงบเงียบอาการทั้งหมดทั้งมวล ก่อนจะเล่าย้อนละครชีวิตที่ราวกับนิยาย
"ตอนที่คุณแม่เสียชีวิต เรียกว่าไม่เหลืออะไรเลย คือบ้านก็เป็นบ้านเช่า แล้วกิจการค้าขาย ตอนนั้นเราเป็นเด็ก เราก็ขายไม่เป็น ก็ต้องปิด มีเงินเก็บในธนาคารของคุณแม่บ้าง แต่เขาก็มีหนี้โน่นนี่นั่น เราก็จ่ายชดใช้ไป ก็พอเหลืออยู่บ้าง แต่มันก็ไม่พอจะประทังชีวิตอยู่ได้เป็นเวลานาน เพราะเราต้องไปโรงเรียน แถมบ้านก็ไม่มีอยู่ ก็ไปอาศัยบ้านเพื่อน

"บ้านเพื่อนคนนี้ก็ไม่ได้ร่ำรวย เป็นคนจนล่ะพูดง่ายๆ แต่ว่าบ้านเขาเป็นลิเก พ่อแม่ไปเดินสายลิเก เปิดวิกต่างจังหวัด แกก็ทิ้งข้าวสารไว้ให้ แล้วก็ทิ้งเงินไว้ให้บ้าง ไว้ให้ลูกเขา ไม่ได้ให้เราหรอก ก็มีน้องเพื่อนอีกคนหนึ่งแล้วก็มีแมวตัวหนึ่ง รวมเราเป็นชีวิตที่ 4 ที่ไปอยู่กับเขา เงินก็หมดลงเรื่อยๆ ตอนนั้นโรงเรียนก็ไปบ้างไม่ไปบ้าง เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เงินหมด มีคูคลองหนองบึงตรงไหน ก็ดั้งด้นไปตกปลามากิน เด็ดผักบุ้ง เด็ดพริก มาทำกับข้าวกัน"

จากห้องแอร์บุด้วยฝาผนังคอนกรีตแปรเปลี่ยนเป็นเพิงพักสังกะสีที่อบอ้าวยามหลับนอน และระอุด้วยความร้อนในยามแดดแรงกล้าสาดส่อง ไม่มีกรุนกลิ่นกับข้าวกับปลาอาหารลอยโชยแตะจมูกพร้อมเสิร์ฟในทุกมื้อ ยิ่งชวนให้ความเศร้าโศกที่เกาะกุมจับหัวใจเว้าแหว่งสาวน้อยในวันนั้นให้หวนคิดถึงมารดาผู้จากไป

"ตอนนั้นมันก็เศร้า แต่ก็สนุกด้วย เพราะว่าอยู่กันมีแต่เด็ก 3 คน ไม่มีผู้ใหญ่เลย ก็ลืมได้บ้าง แต่ว่าพอพระอาทิตย์คล้อยต่ำเท่านั้น ร้องไห้แล้วคิดถึงแม่ เพราะชีวิตเราเคยอยู่แบบสบายๆ นอนห้องแอร์ แต่พอเรามาอาศัยเขาอยู่เป็นบ้านสังกะสีหลังคาต่ำ มันก็ร้อนสำหรับเรา เขาอยู่กันจนชินแล้ว เข้าใจคำว่าสมองเดือดหรือเปล่า มันเดือดจริงๆ คิดดูสิ ในอุณหภูมิอย่างนี้ แล้วอยู่กลางทุ่ง มันยากจะบรรยาย"

"แต่โชคดีบ้านเขามีตู้เย็น เราก็เปิดตู้เย็นให้ไอเย็นออกมาให้เราหลับ แต่ตู้เย็นพอเปิดนานๆ มันก็ไม่เย็น เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยแก้ปัญหา โดยการกรอกน้ำใส่ขวดพลาสติกแล้วเอาไปแช่ในช่องฟิตไว้ พอมันแข็งเราก็มาห่อผ้าขนหนูกอดนอน แก้ไขปัญหาตรงนั้นเรื่องความเย็นไปได้หนึ่งเรื่อง ก็กัดฟันทนๆ พอแล้วๆๆๆ บอกกับตัวเองอย่างนั้นตลอด"

"ก็อยู่ตรงนั้น 1 ปี คิดว่าอนาคตหมดสิ้นแน่ๆ เลย ม่เหลืออะไรแล้ว คือมันยิ่งกว่าศูนย์ แล้วจู่ๆ โชคดีคุณลุงไปตามหาเราจนเจอ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน ที่หาเจอ เพราะว่าสมัยคุณแม่ยังมีชีวิต คุณแม่จะติดต่อกับคุณลุงบ้างเป็นระยะๆ แล้วแม่เขาหายไปปีหนึ่ง คุณลุงเขาก็เลยเกิดเหตุสงสัย ไม่มีใครติดต่อเลย เบอร์โทรศัพท์ก็ไม่มี เขาก็ไปตามหากับชาวบ้านแถวๆ นั้น แล้วเขาก็บอกว่าอยู่บ้านหลังนี้ แล้วไม่เคยเจอหน้ากันเลยนะ พอเจอกัน คุณลุงเขาก็รับเราไปอยู่ที่พัทยา"

นั่นคือปฐมบทที่แห่งเรื่องราวประดุจปาฏิหาริย์ของพล็อตเรื่องละครไทยหลังข่าว “คุณหนูเป็กกี้” ผู้พลัดพรากจากครอบครัว ตกระกำลำบาก ก่อนจะมีคนมาพบแล้วพากลับไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ณ บ้านคฤหาสน์หลังโต
จะติดก็แต่ประการหลังอย่างเดียวที่ไม่เหมือนกัน แต่กระนั้นก็นับว่าเป็นเดชะบุญ ที่คุณลุงซึ่งมีกิจการ 'Live & Sound' ทั้งวงดนตรีและเครื่องเสียง นำพาให้เธอได้เป็น "นักร้อง" ได้ทำในสิ่งที่รักชอบใฝ่ฝันมาตั้งแต่ครั้นแม่ยังมีชีวิตอยู่ จนสามารถไต่บันไดชีวิต ก้าวขึ้นมาเป็นคนโด่งดังมีชื่อเสียงอย่างทุกวันนี้

“เวลาอยู่ที่บ้าน ตอนคุณแม่ยังอยู่ เวลาเราอยากได้อะไร เราก็จะไปร้องเพลงตามงาน เขาจะมีงานบวช งานวัด คุณแม่เขาก็จะบอกว่า ถ้าชอบก็ไปเถอะ เราก็ไปของเราเอง เรามีตรงนี้ติดมา พอเราไปอยู่กับลุง ลุงเขาทำเครื่องดนตรี ทำวงดนตรี เราก็เลยได้โอกาสได้ทำในสิ่งที่เราชอบเรารัก เราก็เลยไปทำตรงนั้น แต่แรกๆ ก็ยังไม่ได้เป็นนักร้องเอง เพราะผู้หญิงบาร์สมัยนั้นเขาไม่ชอบผู้หญิงร้องเพลง เขาชอบผู้ชายหล่อๆ เราก็เลยแค่ขอเครื่องเสียงลุงเซตหนึ่งทำวงดนตรี หาผู้ชายแต่งตัวดีๆ หล่อๆ ลงงาน"

หลังจากจับทิศทางค่อยๆ สร้างกระแสจนขยับขยายได้ดีระดับหนึ่ง คลุกคลีตีโมงเกิดประสบการณ์ความชำนาญเพียงไม่ถึง 2-3 ปี เธอก็ก้าวผ่านบันไดขั้นแรก กลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่สาวๆ บาร์ให้การยอมรับ

"ช่วงนั้นก็เริ่มคิดอยากจะเป็นผู้หญิงที่ทำวงดนตรี แล้วสาวบาร์ยอมรับ ก็ไม่รู้ว่ามันจะได้หรือเปล่า ก็เป็นการเปิดตลาด ลองดู เพราะเราเป็นผู้หญิง ที่บุคลิก 11 รด.มาก (ลากเสียง) ผู้หญิงบาร์ก็ชอบ เพราะผู้หญิงบาร์เขาก็แรงกว่าเราอีก เราก็ไปทำจริตให้เหนือกว่า เขาก็ยิ่งชอบกันใหญ่ ทีนี้ก็เลยกลายเป็นว่าเราเกิด เป็นนักร้องผู้หญิงคนแรกที่ไปร้องงานบาร์แล้วผู้หญิงบาร์ชอบ"

"ทำเงินได้คืนละ 4 พันต่อการโชว์ของวงหนึ่งครั้ง ตกวันละ 2-3 งานในแต่ละคืน เรารับค่าตัวจากลุงเริ่มต้นด้วยงานละ 300 มีงานทุกวัน กลางคืนวันละ 2-3 งาน ทั้งเดือนมีทุกวัน ไม่เคยไม่มีงานเลย แล้วหลังจากนั้นก็ขยับเข้าไปรับงานโชว์ในโรงแรม"

ก้าวที่สองของชีวิตกำลังขยับดีขึ้นตามลำดับ แต่กระนั้น เธอกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่ทาง

"คือเราโชว์เราอยากเห็นคนมีความสุข สนุกไปกับเรา ไปร้องในโรงแรมเขาสำรวมกิริยามารยาท นั่งทานข้าวแบบเงียบๆ จะตบมือก็เพลงสองเพลงแรก ตบเท่านั้น หลังจากนั้นก็เงียบ ตรงกันข้ามกับเราที่เป็นคนสนุกร่าเริง ออกจะฮาร์ดคอร์ด้วยซ้ำ (หัวเราะ) มันก็ไม่สนุก ก็เลยไปคิดหาวิธีงัดเอากลเม็ดเด็ดพรายเพื่อดึงใจ เพราะขืน "เมื่ออยู่ริมฝั่งชล ฉันยล..." ร้องเป็นอีเล็กโทนต่อไปเฉยๆ เราเบื่อตายแน่

"ก็เลยไปตระเวนดูงานอีเวนท์ต่างๆ ที่เขามีจัด ดูว่าเขาทำอะไรกันอย่างไรบ้าง การที่จะเป็นนักร้องสายโชว์ต้องแบบไหน ตอนนั้นก็มีหลายคน มี 'เจนนิเฟอร์ แบงค์' 'เจเน็ต เขียว' 'ติ๊นา คริสติน่า อากีล่าร์ ' เราก็เอาลีลาท่าทางเขามาใช้ แต่เราไม่แต่งตัวเหมือนเขา เพราะเราอยากเป็นแนวล้อเลียน ขำๆ ก๊ากๆ แล้วก็ไปคิดหามุก ก็ได้รับความสนใจ แล้วตรงนั้นก็ได้รับการพัฒนามาเรื่อยๆ"

อัลบั้มเป็นของตัวเอง ชื่อ "หนุ่มสายตาสั้น" จากการสนับสนนุนของ จำรักษ์ เอื้ออารีนุสรณ์ เจ้าของอาร์เอ็มเอส สตูดิโอ แอนด์ มัลติมีเดีย แม้จะไม่คาดหวังการประสบความสำเร็จเรื่องยอดขาย แต่กระนั้นก็ทำให้ราคาค่างวดการโชว์ขยับสู้ขึ้นเหยียบเกือบหลักหมื่น แถมมีป้ายงานแสดงโชว์ ซึ่งจุดนี้ทำให้เธอมีโอกาสครั้งแรกในการเปิดเผยผลงานสู่สายตาสาธารณชน

"นับเป็นความโชคดีที่ท่านเมตตา แม้ว่าจะรู้ว่าขายไม่ได้ แต่ท่านก็ช่วยเหลือ ก็เป็นโอกาสที่เราจะขึ้นราคาอีเวนท์ได้อีก นี่คือความคิด คือเรื่องเงินอย่างเดียวเลย (หัวเราะ) เราก็พัฒนาบุคลิกภาพ พัฒนาเรื่องชุด เรื่องการแสดง มุกต่างๆ อะไร ก็ทำให้มีงานพอสมควร มีขึ้นป้ายการแสดงโชว์ บังเอิญ พี่ปุ้ยตีสิบ (คืนสิทธิ์ สุวรรณวัฒกี) เขาขับรถผ่านแล้วก็เกิดสงสัยว่าเราคือใคร

"ช่วงนั้นรายการดันดาราเขากำลังดังมาก ใครไปก็เกิดก็ดังหลายคน โปงลางสะออน พี่ท็อปฟี่สามบาทห้าสิบ ใครที่เกิดเยอะหลายคน เราก็โอ๊ยตายแล้ว เขาติดต่อมาอยากให้ไปตีสิบ ช่วงดันดารา โอ๊ยกรี๊ด คิดว่านี่แหละโอกาสก้าวหน้าในการทำงาน เราก็เลยมุ่งมั่น จะต้องเป็นดาวเด่นอีกคน ที่จะดังในตีสิบให้ได้"

"แต่ก่อนเทปเราจะออน พี่ปุ้ยเขาก็เรียกเราให้ไปดูคนที่จะออกอากาศก่อนหน้าเรา คนนั้นคือยายแหวว..." เจ้าของโชว์คนดังลากเสียงเน้นหนักลงท้ายพลางเว้นวรรค ทำให้รับรู้ถึงความรู้สึกในวันเวลานั้นที่แม้ต้องยอมรับโชคชะตา แต่ก็ไม่หมดหวังย่อท้อ ซึ่งรวมไปถึงอีกหนึ่งครั้งงานภาพยนตร์ (เรื่องกระดึ๊บ) สองครั้งงานละคร (กี่เพ้าและสามีตีตรา) ที่ไม่ทำให้กลายเป็นที่จดจำอย่างที่ตั้งใจ

"ถามว่าทำไมไม่ท้อ คือเรามาจากคนที่ไม่มีจะกินอยู่แล้วในช่วงชีวิตหนึ่ง แล้วอยู่ดีๆ ได้มาเล่นละคร มันเป็นอะไรที่แบบมันพลิกผันมาก เราหวังหมดล่ะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน หัวใจเรามันบอก ชีวิตคนคนหนึ่ง เราว่าเราเกิดมาเพื่อใช้มัน ดังนั้น เราจะไม่อยากรู้หรือว่าเราทำอะไรได้แค่ไหน วันหนึ่งทุกคนมีเวลาเท่ากันหมด 24 ชั่วโมง แต่ว่าจะเอามาใช้กี่ชั่วโมง จะนอนไปกี่ชั่วโมง ทุกคนมีความสามารถเท่ากันหมด เราไม่เชื่อเรื่องใครเก่งว่าใคร ใครแน่กว่าใคร

"เราว่าถ้าพยายามและมุ่งมั่น ทุกคนทำได้หมด ยิ่งถ้าได้ทำงานที่เรารัก แล้วเราทุ่มเทไปกับมัน ทุกคนถึงฝั่งฝันแน่นอน อย่าไปท้อไปถอย คือบางคนอาจจะคิดว่า 'ชีวิตด้อยโอกาส' 'เกิดมายากจน ไม่มีจะกิน' 'ต้นทุนเราต่ำกว่าคนอื่นเหลือเกิน' ไม่ต้องมาพูดกับเราเลย ตอนนั้น 5 บาทเรายังไม่มีเลยด้วยซ้ำ"

"คือด้วยความลำบากมั้ง มันก็เลยทำให้เราเข้มแข็ง เราเอามันมาเป็นยา เราไม่ได้เอามันมาบั่นทอน" ดาวโชว์คนดังเผยแก่นชีวิต
"อาจจะเพราะโชคดีที่เราลำบากมาก่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถึงทำให้คิดได้ ทำได้ สู้มาจนได้ แต่ในความโชคร้ายมันก็มีโชคดีแหละ คือเราต้องคิดบวก อย่างถ้าเจออุปสรรค ต้องหาวิธีพลิกวิกฤต แล้วก็รีบแก้ไขทันที เพราะสุดท้ายคุณก็ต้องลุกขึ้นมาแก้อยู่ดี เพราะฉะนั้น ลุกเร็วไม่ดีกว่าลุกช้าๆ เหรอ ถูกไหม...

"เพราะยังไง มันก็ต้องลุกขึ้นมาทำอยู่ดีไม่วันใดก็วันหนึ่ง สู้ทำแป๊บเดียวแล้วให้มันผ่านพ้นไปเร็วๆ เลยจะดีกว่า ยอมมันก่อน ถ้าโถมเข้ามา มาเลย เข้ามาซิ คนเรามันเกิดมาเพื่อต่อสู้ เพื่อทุกข์ เพื่อเจ็บ เพื่อปวดอยู่แล้ว ถ้าไปทุกข์ไปเจ็บไปปวดมันมากก็ไม่ดี รีบๆ หลุดจากตรงนั้นดีกว่า บางคนอาจจะคิดว่าก็พูดได้สิ ผ่านมาแล้ว ก็ใช่ คุณก็ทำให้มันผ่านให้ได้บ้าง จะได้พูดได้อย่างนี้เหมือนกัน"

"คือชีวิตมันมีอุปสรรคเต็มไปหมด มีอยู่เรื่อยๆ ถ้าเรายังมีลมหายใจ ไม่มีวันไหนที่ไม่มีอุปสรรค แต่อุปสรรคมันก็เป็นสิ่งดี เวลาเราเจออุปสรรค ถ้าเราแก้ไขมันได้ รสชาติหลังจากนั้นมันจะหอมหวานมาก อย่างสมมติเราเจออุปสรรคแล้วเราแก้ไขไปได้ หลังจากที่เราแก้ไขได้ มันจะเป็นรางวัลและผลผลิตงอกงามที่เธอได้รับ ไม่ว่าเรื่องอะไร"

จงเป็นคนที่เห็นคุณค่าของตัวเอง
เพราะคุณค่าของคนอยู่ที่เราทำ "อะไร" เพื่อ "ใคร"

อาจจะด้วยความโชคดีอย่างที่เจ้าตัวว่า ก็มิรู้ได้ ที่ส่งให้ชื่อของ "เป็กกี้" ปรากฏขึ้นจากการโชว์ประชันเงาเสียง "หญิงลี" ในรายการ "กิ๊กดู๋สงครามเพลง" จนมีชื่อเสียงโด่งดัง แจ้งเกิดอย่างเป็นทางการ แต่ที่แน่ๆ มิอาจปฏิเสธได้ว่า ชนวนเหตุที่ชักพาความโชคดีมาก็นั้นเพราะ ความตั้งมั่น ตั้งใจ ไม่ย่อท้อ เต็มที่ในทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามา แม้ว่าจะผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ตาม...

"เราว่าทุกคนทำได้หมด ถ้ามุ่งมั่นจริงๆ เหมือนตอนนั้นที่กำลังโชว์งานอีเวนท์อยู่บนดอยที่จังหวัดเชียงใหม่ พอทางรายการเขาติดต่อมา แวบแรกคิดเลยว่าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ได้ พูดกับตัวเองอย่างนี้เลยว่าจะต้องต่อสมบุกสมบัน ทุลักทุเลอย่างไร ก็ต้องทำให้ได้ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสั่งตัดชุดเลย เอาให้เหมือนที่สุด วัดไซด์ก็ไม่ได้วัด โทรจองตั๋วเครื่องบิน เสร็จแล้วพอเลิกงาน 5 ทุ่ม ก็เหมารถคอกหมูรีบลงมาที่สนามบิน หนาวก็หนาว เมารถแล้วก็เมาอีก" ดาวโชว์คนดังเล่าประสบการณ์นาทีระทึกใจที่จะเปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล

"มาถึงสนามบินก็เช้าพอดี ขึ้นเครื่องเลย เพราะรายการเขาต้องถ่าย 10 โมง เรามาถึงกรุงเทพฯ ตอน 9 โมง โปรดิวเซอร์รายการเขาก็โทรถามว่าเราอยู่ไหน คือทุกอย่างมันฉุกละหุกไปหมด เราก็บอกว่า เครื่องลงแล้วพี่กำลังไป พอไปถึงลองชุดออกมาพอดีเป๊ะ แม้จะไม่ได้วัด แต่มันก็พอดี เดชะบุญมันพอดีทุกอย่าง"

"ยิ่งตอนจะแพ้ไม่แพ้ เราเต้นบีบอยนี่ยิ่งลุ้นใหญ่ คือเราไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี มันก็เลยได้รับเสียงฮือฮามาก แต่จริงๆ ตอนนั้นเราไม่ได้คิดหวังว่าจะขนาดนี้ ไม่คิดว่าจะชนะด้วย แค่คิดว่าไปแล้วทำในสิ่งที่เรารัก ทำให้ดี ทำให้สนุก ทำให้เต็มที่"

..."เราก็พยายามแบบกระเสือกกระสนเพื่อจะได้ไปจากตรงนี้ ถ้าเปรียบเสมือนเป็นการ์ตูนก็วิ่งกระโดดข้ามไปได้แล้ว เราเทคตัวเต็มที่เพื่อจะไปอีกฝั่ง แต่จริงๆ เราก็มีไขว้เขวบ้างนะ เพราะชีวิตปกติของคนเรามันก็มีช่วงเกเร เราก็เป็น เราก็มีเพื่อน แต่เราก็ทำงานด้วย คือไม่ใช่ว่าจะไปรักชั่วอย่างเดียว (หัวเราะ) ก็หามจั่วหามเสาเหมือนกัน ส่วนตัวคิดว่าชีวิตต้องมีทั้งด้านหยินและหยาง ก็คือทำงานส่วนทำงาน เที่ยวผ่อนคลายเราก็ไป เราก็ต้องแบ่งเวลา อย่าให้งานเสียการงาน ทำมันสองอย่างไปด้วยกัน เพราะไอ้เรื่องเที่ยว เชื่อว่าชีวิตคนวัยหนึ่ง เราเที่ยวกันทุกคนอยู่แล้ว แต่อย่าเที่ยวจนชีวิตเราเละ จนงานเราพัง ถ้าใครเรียนก็ควรเรียนด้วย

"เรื่องเรียนสำคัญ เพราะว่ายิ่งโต สังคมยิ่งสูง การศึกษาสำคัญ คนจะชอบถามเรียนจบอะไรมา คือหนทางเราก็อาจจะมองไม่ค่อยเห็น ชีวิตบางคนก็เลยจะท้อหรือเสียคนไปเลย แต่ถ้าคนคิดอย่างนั้นไม่ดีนะ เราอย่าไปตามคนอื่น เพราะว่าชีวิตของเราในช่วงที่เราจะเจ็บจะปวด มีกิน ไม่มีกิน ไม่มีใครที่จะมารับผิดชอบเราได้เลยตรงนี้นอกจากตัวเราเองเท่านั้นคนเดียว

“ดังนั้น ในเมื่อมันเป็นตัวเราคนเดียว เราไม่อยากให้ตัวเรามันไปอยู่ในจุดที่มันดีกว่าที่เราเป็นเหรอ จุดที่เราสามารถทำได้ คือว่าถ้า 'ไม่' ก็อย่าฝากชีวิตไว้กับใคร เพราะตัวเราเป็นของเรา อย่าฝากชีวิตไว้กับใคร ใครก็ไม่สามารถ พ่อแม่ ไม่มีใครที่จะมาดูแลชีวิตเราได้ จริงๆ แล้วคนเราเลยนะคือตัวเองนี่แหละ"

"ถ้าทำตัวเองดี ถ้าทำตัวเองรอด ตัวเองก็ดี ก็จะรอด เพราะฉะนั้นมันขึ้นอยู่กับตัวเรา เราหยิกตัวเองเรายังเจ็บเลย แล้วเราไม่อยากจะมีชีวิตที่มันดีเหรอ เราไม่เห็นคุณค่าในตัวเองหรือ คืออยากจะรู้เลยว่าก่อนจะตาย เราจะมีอะไรอยู่ในมือบ้าง เราจะไปยืนได้ไกลแค่ไหน ไปได้แค่ไหน ตอนนี้เราหันหลังกลับไปมอง เราก็ภูมิใจนะ คิดนึกดูตลอด ถ้าแม่ยังอยู่ท่านก็คงภูมิใจในตัวเราเหมือนกัน เพราะมันไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมาถึงขนาดนี้"

อาจจะฟังเป็นเหตุผลที่ฟังแล้วไม่เสนาะหู ใครหลายคนอาจจะมองว่ากล้าทำ "บ้า" ตามฉายาการแสดง "ศรีธัญญา" ที่ได้รับจาก "ตั๊ก ศิริพร อยู่ยอด" กระนั้น ถ้าใครเติบโตมาท่ามกลางชีวิตที่ต้องสู้อย่างโดดเดี่ยว ทำทุกอย่างที่ต้องทำเพื่อความอยู่รอด เชื่อว่าคงเข้าใจคุณค่าของตัวเองที่มีแต่ตนเองเท่านั้นที่มองเห็น

"เราต้องเคารพตัวเอง ทุกวันนี้ยังขอบคุณพี่ตั๊กตลอด ไปรายการไหนบอกตลอดเลยว่าพี่ตั๊กเป็นคนตั้งให้ (ยิ้ม) เราถือว่าเป็นชื่อที่ว่าเป็นสิริมงคลมาก ก็เพราะว่าเราบ้า เราก็ยอมรับ ใครถืออย่างนั้นเราก็ไม่โกรธ เพราะเราก็เป็นของเราอย่างนี้ตามปกติ แค่ไม่เหมือนคนอื่น ไม่อาย อายคืออะไร ไม่มีในพจนานุกรมชีวิต เราเป็นอย่างที่เราอยากเป็นไม่เดือนร้อนใคร คนที่ไปกับเราก็ต้องถามว่าเขาอึดอัดหรือเปล่าที่เราเป็นอย่างนี้ ถ้าเขาไม่อึดอัด ก็ถือว่าโอเค พอ"

"ทุกอย่างก็มีมุมบวก มุมลบ เป็นผู้หญิงกระโดกกระเดกออกแนว 11 รด.เยอะ อย่าไปเอาเป็นเยี่ยงอย่างเป็กกี้ อันนี้ก็พูดได้ ก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็ดูเอาสนุกพอ เราก็คงเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ถ้าอยากเอาในส่วนของเราไปสู้อย่างนี้ เอาตรงนั้นก็ได้ มันก็ทุกอย่าง ทุกคนมันก็มีทั้งมุมดีและมุมไม่ดี แล้วแต่คนจะมองว่าอันไหนดีไม่ดี ก็เอามุมดีเราไปใช้แล้วกันเวลาดูเรา"

"ชีวิตคนแบ่งให้เป็นสัดส่วนอันไหนควรที่จะทำก็ทำ" เธอสรุปสั้นๆ แต่ความหมายของมันสื่อให้เห็นทัศนคติการมองโลกที่ก้ามข้ามเปลือกจริตภายนอกตัวคน ไม่มองเพียงขาว-ดำ และไม่มองให้สิ่งรอบข้างย่ำแย่ไปเสียหมด

"ยกตัวอย่างเรื่องผลประโยชน์ที่คนอื่นจะมาเอาจากเรา บางคนเขาคิดว่าคนนี้เข้ามาซื้องานกับเราเอาค่านายหน้า ไม่เอา ใครเป็นใครก็ไม่รู้ แต่เราคิดว่าใครก็ตามเข้ามาแล้วมาตักตวงผลประโยชน์ของเรา แสดงว่าเราเจ๋ง แสดงว่าเราเป็นคนที่มีคุณค่า ถึงมีคนจะมาเอาประโยชน์จากเรา แสดงว่าเราเป็นคนที่มีประโยชน์

"คือผลมันจะดีหรือไม่ดีก็ไม่เป็นไร ถือว่าเราได้ทำ มันไม่ได้เลวร้ายทั้งหมดหรอกสิ่งที่กำลังจะก้าวไป มันก็ต้องมีอะไรดีๆ บ้างล่ะ อย่างสมมุติเราจะทำอะไรสักอย่าง ถ้าบางที เรามัวแต่กลัวๆ ไม่เอา ไม่กล้า คิดก่อนว่าทำไปแล้วมันไม่เจ๋ง เราก็จะไม่มีวันรู้เลยว่ามันจะเจ๋งหรือไม่เจ๋ง สู้ทำไปแล้วมันเจ๋งไม่เจ๋งให้เป็นอีกเรื่องหนึ่งไม่ดีกว่าเหรอ เพราะอย่างน้อยเราก็ได้ทำ ทำแล้วเราก็ได้รู้ศักยภาพตัวเอง หรืออย่างน้อยที่สุดเราก็ได้ประสบการณ์ แน่นอนว่า ถ้าตรงนี้ไม่ดี วันใดวันหนึ่งที่เราจะกลับไปทำอีกที เราก็รู้จุดบกพร่องของมันแล้วว่าคืออะไร"

ค้นตัวเองให้เจอแล้วก้าวไปสู่เป้าหมาย
แต่อย่าลืมตัวตนรากของเรา

แม้จะแจ้งเกิดจากการแสดงเป็น “เงา” ของคนอื่น แต่โดยพื้นฐาน หญิงสาวดาวโชว์เน้นหนักว่าต้องมีรากเป็นของตนเอง และค้นหาให้พบว่าความถนัดของตนเองคืออะไร

"การเป็นตัวเองดีที่สุด การที่ได้ทำงานที่รักดีที่สุด เพราะฉะนั้น สิ่งที่ดีที่สุดมันอยู่ตรงไหน ทำอย่างไรถึงหามันได้เจอ ต้องถามตัวเราก่อนว่าเราชอบอะไร ชอบอะไรที่มันไม่เดือดร้อนคนอื่นเราก็มุ่งมั่นทำไปเถอะ

"แต่ถ้าเกิดคนอื่นมองว่ามันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ จริงๆ มีอะไรบ้างที่เป็นไปไม่ได้ คุณจะปีนขึ้นไปเอาพระอาทิตย์เหรอ ก็ไม่ใช่ อันนั้นมันก็เกินไป อย่าไปขีดข้อจำกัดให้ชีวิตคนว่าเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปได้หมดล่ะทุกอย่าง คุณไม่อยากรู้เหรอว่าคุณทำได้ไม่ได้ ถ้าอยากรู้ก็ลงมือทำเลย อย่างที่บอก ทั้งหมดทั้งมวลไม่มีใครมาอะไรกับเราเลย ตัวเราสำคัญที่สุด อยู่ที่เรา"

"บางทีคนไทยเลี้ยงลูกผิด ฟังพ่อแม่เกินไป อย่าทำนั้นนี้โน้น ไม่ทำแล้วจะรู้ได้ไง ปล่อยเลย ผิดเป็นผิด เป็นบทเรียน คอยประคับประคองดีกว่า คือครอบครัวคอยรอส่งเสริมแต่ให้เขาไปประสบการณ์จริง พูดเหมือนมีครอบครัวที่สมบูรณ์ (หัวเราะ)

"ไม่รู้หรอกนะว่าที่พูดมาทั้งหมด จะได้สาระอะไรไปกี่มากน้อย เพราะว่าเป๊กเองก็เป็นคนไม่ค่อยมีสาระเลย แต่ว่าถ้าชีวิตเราจะเป็นสาระให้คนอื่น ก็ยินดีที่จะเป็นสาระให้ ก็ดูการดำเนินชีวิต ทุกคนลำบากกว่าที่พูดก็มีเยอะ แต่ทีนี้เราจะเอาความลำบากตรงนั้นอย่างไรให้มันเป็นจุดแข็ง เพื่อต่อสู้ ปกกันตัวเอง ให้ตัวเองก้าวไปข้างหน้า

"บางคนบอกว่ามันไม่มีหนทางจริงจริ๊ง อย่างขายลูกชิ้นก็ขายแต่ลูกชิ้นแล้วจะให้ไปทำอะไรอย่างอื่น เราก็ควรจะมีความสุขกับมัน อย่างสมมุติขายลูกชิ้นใช่ไหม คุณก็มีความสุขกับการที่คุณขายลูกชิ้นนั่นแหละ โดยการหากลเม็ดเด็ดพรายอะไรให้มันเป็นเคล็ดลับเฉพาะตัว คนชอบเอนเตอร์เทน ก็ไปลองเอามาเป็นจุดขาย"

"ถ้าคิดว่าทำได้ เราก็จะทำได้ อย่าเพิ่งหลอกคนอื่น หลอกตัวเองก่อน ว่าเฮ้ยต้องทำได้ ต้องใช่ แล้วมันจะทำได้เอง เราต้องหลอกมันก่อน หลอกสมองก่อน ใช้ใจหลอก ร่างกายเราเราก็ต้องหลอกมัน มันต้องใช้ใจ เพราะร่างกายมันบังคับด้วยจิต รองลงมาคือสมอง เพราะฉะนั้น เราต้องใช้จิตหลอกสมองว่าเราต้องทำได้

"ถามว่าตอนนี้เราประสบความสำเร็จหรือยัง ก็ยังหรอกในความรู้สึก ถ้าจะสำเร็จจริงๆ คือการมีเพลงฮิตๆ สักเพลง เราก็ยังต้องสู้ต้องทำต่อไป เราอยากเป็นนักร้องอย่างเดียว เราก็ทำจนสามารถได้เป็นอาชีพสร้างรายได้เลี้ยงตัวเอง สะสมปั้นจากกลมๆ จนมีรูปมีร่าง แต่ถ้าไม่ถึงก็ไม่เป็นไร เพราะว่าตอนนี้ก็มาไกลกว่าที่คิดไว้เยอะแล้ว ได้ไปร้องเพลง แล้วคนข้างล่างที่เขาเห็นเรา เขามีรอยยิ้ม เขามีความสุข มันคือพลังที่ส่งกลับมาแล้ว ได้ให้กำลังใจน้องๆ ที่กำลังเรียนให้ก้าวผ่านได้เหมือนกัน

"ก็หวังตั้งมั่นอย่างนั้นแล้วจงมีพลังไปต่อสู้กับอะไรก็แล้วแต่ที่กำลังสู้ๆ กันอยู่ เป็นกำลังใจให้ ชีวิตเราเคยลำบากมาก่อน เรารู้รสชาติมันเป็นอย่างไร มันก็ผ่านมาไม่ง่ายหรอก แต่ถ้าคุณผ่านได้คุณก็จะรู้สึกดี หวังว่าทุกคนจะผ่านมันไปได้ และเห็นคุณค่าของตัวเอง ไม่ย่อท้อ รู้จักให้เกียรติกับคนอื่น เอาอุปสรรคเป็นแรงผลัก มุ่งมั่นตั้งใจ ทำอะไรก็จะประสบความสำเร็จ"

นอกจากแง่คิดชีวิตและมุมมองตัวตนจะผลักให้เฉิดฉายสู่ความสำเร็จจนกลายเป็นไอดอลคนหนึ่งของสังคม "การค้นหาตัวเองก้าวไปสู่จุดมุ่งหมาย" พร้อมๆ กับประคับประคอง "นาวาชีวิต" ไม่ให้ใหลหลงไปกับชื่อเสียง คงเป็นอีกสิ่งหนึ่งซึ่งทำให้ทุกคนประทับใจในตัวเธอ

"อันนี้ต้องระวังเลย เราจะบอกกับคนรอบข้างตลอดเวลาเลยว่าถ้าวันใดวันหนึ่งเราเปลี่ยน เดินเชิดใส่ใคร หรือทะนงตัว ช่วยเอารองเท้ามาฟาดกะบาลที ช่วยเตือนสติกลับมาที เพราะว่าไม่อยากหลงอย่างนั้น เนื่องจากมันดูเป็นคนที่น่าเกลียดมาก"

"ทุกวันนี้พยายามที่จะธรรมดาให้มากที่สุด เหมือนเดิมให้มากที่สุด พยายามไม่หลงไปกับมัน ไม่ว่าจะเรื่องชื่อเสียง เรื่องงาน หรือเงินทอง ทุกวันนี้ก็รีบทำงาน รีบเก็บ เพราะพอถึงวันหนึ่ง อาชีพอย่างเรามันไม่แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าไปหลงไปเหลิง ตายลูกเดียว






เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : ปวริศร์ แพงราช

กำลังโหลดความคิดเห็น