xs
xsm
sm
md
lg

X-ทิวิตี้ (1)...ญี่ปุ่นฟรีเซ็กซ์จริงหรือ?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์


ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์
Tokyo University of Foreign Studies


มุมมองเรื่องอย่างว่าของญี่ปุ่น

มีกิจกรรมหลายอย่างที่ทำคนเดียวไม่ได้ แต่ต้องร่วมแรงร่วมใจกันทำเพื่อให้บรรลุผล หนึ่งในกิจกรรมที่ว่าคงต้องมีรายนามของปฏิบัติการเชิงซ้อนในที่ลับระหว่างคนสองคนรวมอยู่อย่างแน่นอน เรื่องแบบนี้คือเรื่องอะไร คนที่พ้นวัยมัธยมต้นขึ้นมา ผมเชื่อแน่ว่าถึงไม่บอกก็รู้ชัด คำนี้อาจพูดเก๋ ๆ ได้ว่า “เอ็กซ์ทิวิตี้” อันเป็นกิจกรรมทวิภาคีที่มนุษย์รู้จักมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์

ไม่ต้องเปิดพจนานุกรมเพราะคำนี้ผมบัญญัติเอง เอา X (เอ็กซ์) สนธิกับ activity (กิจกรรม) รวมแล้วกลายเป็น X-tivity อันหมายถึง กิจกรรม (อ่านว่า กิด-จะ-กำ...แต่สำหรับคำอย่างนี้คงมีคนคิดไปไกล ลากพยางค์สุดท้ายให้กลายเป็นเสียงยาวแน่ ๆ) ที่ทำให้มนุษย์สืบเผ่าพันธุ์ได้ แต่สังคมไหนจะปิดจนมิดชิด จะแง้ม จะเผยอ หรือเผลอเมื่อไรค่อยเปิด ก็ขึ้นอยู่กับยุคสมัยและเงื่อนไขของสังคมนั้น

ระยะหลัง ๆ สังคมไทยบอกว่าเรื่องแบบนี้ควร “รู้” เอาไว้ แต่อย่าได้ “ผลีผลามลอง” ต้องทำให้ถูกทำนองคลองธรรม ค่อย ๆ รอให้ห่าม อย่ากระโดดข้ามขั้นไปทำให้สุกก่อนเวลา เพราะจะถูกตราหน้าว่าสร้างความเสื่อมเสียให้แก่วงศ์ตระกูล แต่ดูเหมือนว่าคำสอนมีเอาไว้ให้ฝืน เพราะในสังคมไทยตอนนี้ มีเรื่องท้องก่อนแต่งให้ได้ยินจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา ผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นการเลียนแบบดารา หรือว่าดารานั่นแหละที่เลียนแบบชาวบ้าน

ข้อเท็จจริงคือว่า แม้สังคมไทยเปิดกว้างมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องเพศ แต่ยังค่อนข้างปกปิดกันเหมือนกับเป็นความลับ ธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์คืออะไรยิ่งลับยิ่งอยากรู้ อะไรที่เขาไม่อยากให้ดูก็ยิ่งอยากเห็น ในเมื่อของเราปิด เราจึงยิ่งอยากรู้ว่า แล้วประเทศที่เปิดล่ะ เขาเป็นยังไงกัน?

ความรู้สึกแบบนี้นี่เองที่ทำให้เพื่อนคนไทยของผมหลายคนถามนักถามหนาว่า “ที่ญี่ปุ่น เรื่องอย่างว่าเป็นยังไงบ้าง?”

ต้องยอมรับว่ากระดากที่จะพูดถึงเรื่องเหล่านี้เพราะตัวเองก็ไม่ชิน แรก ๆ ก็แกล้งทำตาอินโนเซนต์เป็นหนุ่มอ่อนเดียงสา ถามซื่อ ๆ ว่า “เรื่องอย่างว่า คือ เรื่องอะไรหรา?” พอมาหลัง ๆ มุกหน้าใสซื่ออินโนเซนต์ชักจะไม่เป็นผล เพราะทำไปทำมาเริ่มมีเสียงค่อนขอดว่า “ทำเป็นหวงวิชา”

ว่าเข้าไปนั่น ผมไม่ทราบว่า ‘วิชา’ ที่เพื่อนพูดนั้นหมายถึงอะไร ถ้าหมายถึงภาคทฤษฎีหรือข้อมูลละก็ มีพอหอมปากหอมคอ แต่ถ้าหมายถึงภาคปฏิบัติหรือเอ็กซ์ทิวิตี้ในญี่ปุ่นละก็ ขอบอกว่า ละเอาไว้ฐานที่เข้าใจ จะตีความได้อย่างไรก็ไม่ว่ากัน ขอยึดมั่นอุเบกขา...อมิตาภพุทธ

พอลงด้วยศัพท์ธรรมะ เพื่อนก็ละความพยายามในส่วนหลัง คือไม่ซักไซ้ภาคปฏิบัติ แต่ยังไม่ยอมแพ้เสียทีเดียว เพราะเรื่องเร้นลับวับ ๆ แวม ๆ นี่ ใคร ๆ ก็อยากรู้

“รู้อะไรบ้างก็ว่ามาสิ อยู่ญี่ปุ่นตั้งนาน หอมแค่ปากกับคอเหรอ?”

...ว่าเข้าไปโน่นอีก พอถูกรบเร้าหนักเข้าชักจะใจอ่อน ไม่ใช่ว่าร้อนวิชา แต่ถือเสียว่าเอาน่ะ...คงได้เวลาบอกสิ่งที่ตัวเองรู้ เล่าสู่กันฟังไว้เป็นวิทยาทานให้เห็นว่าญี่ปุ่นในแง่มุมเรื่อง “ใคร่ ๆ รัก ๆ” มีอะไรน่าสนใจ (หรือ เร้าใจ?) บ้าง

จะด้วยผลิตภัณฑ์เร้าความปรารถนาและอารมณ์จากญี่ปุ่นที่ทะลักทลายแพร่หลายเข้ามาในเมืองไทยจนมีให้เลือกดูไม่ขาดระยะ โดยเฉพาะประเภทภาพเคลื่อนไหว หรือจะด้วยประสบการณ์ตรงของใครหลายคนที่เล่ากันปากต่อปาก หรือจะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ที่แน่ ๆ คือ หลายคนมองว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศฟรีเซ็กซ์ (free sex)...แล้วฟรีเซ็กซ์คืออะไร?

นิตยสารเพล์บอยรายสัปดาห์ของญี่ปุ่นฉบับครบรอบ 40 ปี (ฉบับวันที่ 23 ตุลาคม 2549) ให้คำจำกัดความของฟรีเซ็กส์ว่า หมายถึง การร่วมประเวณีนอกกรอบของการสมรส ขอเพียงแต่มีความรู้สึก(รัก)ใคร่และชอบพอ พูดง่ายๆ คือ ฟรีเซ็กซ์หมายถึง เซ็กซ์ที่ได้มาฟรีๆ ขอแค่มีโอกาสโดยปราศจากข้อผูกมัดด้วยการแต่งงาน นิตยสารฉบับเดียวกันยังระบุต่ออีกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ญี่ปุ่นขณะนี้มีสภาพเป็นอย่างที่ว่า และในช่วง 40 ปีมานี้ ข้อห้ามเรื่องเพศพังทลายไป มีแนวคิดเปิดเผยมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความเหลวแหลกเรื่องโสเภณีนักเรียนหญิง

จากคำนิยามนี้และจากการสังเกตสภาพแวดล้อมในญี่ปุ่น อาจกล่าวได้ว่าภาพลักษณ์ที่คนต่างชาติมองญี่ปุ่นว่าเป็นประเทศฟรีเซ็กซ์นั้นไม่ผิดจากความเป็นจริงเท่าใดนัก สังคมญี่ปุ่นไม่มีข้อกำหนดทางวัฒนธรรมหรือกรอบที่ปิดกั้นอย่างเข้มงวดเหมือนกับสังคมไทย คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่คิดว่า แม้ยังไม่แต่งงาน แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างเต็มใจ จะมีเอ็กซ์ทิวิตี้กันก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลก (ถ้าโตพอ) ขออย่าให้มีปัญหาตามมาก็แล้วกัน คงเป็นจุดนี้กระมังที่ทำให้สังคมญี่ปุ่นอยู่ในกระแสที่เรียกว่าฟรี หรือมีเสรีทางเพศ

ในสังคมญี่ปุ่น ถ้าใครกับใครได้ชื่อว่าเป็นแฟนกัน ไม่ต้องไปตะล่อมถามให้เสียเวลาว่า ตั้งแต่เป็นแฟนกันมา เชยชมอุรากันลึกซึ้งถึงขนาดแผ่นดินสนั่นฟ้าลั่นเปรี้ยงปร้างหรือไม่ เพราะไม่มีใครในสังคมคาดหวังหรอกว่าต่างฝ่ายต่างจะเก็บแฟนไว้บูชา เชื่อขนมกินได้เลยว่าสองคนนั้นย่อมเป็นของกันและกันและมีความสัมพันธ์ด้านเนื้อหนังมังสาโดยเห็นเป็นเรื่องธรรมดา คนในสังคมก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่า สังคมจะส่งเสริมหรือยอมรับว่าการมีอะไรกับใครไปทั่วเป็นเรื่องน่าชื่นชม เพียงแต่หญิงชายในสังคมไม่ได้ฝากความหวังไว้กับฝ่ายตรงข้ามว่า ก่อนจะมาถึงมือฉัน เธอจะต้องบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ราคี ซึ่งค่านิยมในจุดนี้ต่างจากสังคมไทย

ครั้นคลุกคลีกับเพื่อนญี่ปุ่นมาสักระยะ ทำให้ได้ทราบว่าสังคมญี่ปุ่นไม่ได้ให้คุณค่าแก่ความบริสุทธิ์ทางเพศเหมือนสังคมไทย ถ้าไปพูดเรื่องนี้กับผู้ชายญี่ปุ่น จะเกิดปัญหาขึ้นมาว่า “แล้วความบริสุทธิ์คืออะไร? ถ้ามีอะไรกับใคร ทำไมถือว่าไม่บริสุทธิ์ แล้วท้ายสุดทำไมถึงถูกมองว่าเป็นเรื่องไม่ดี” คำตอบของผมคงมีแค่เพียงว่า ขึ้นอยู่กับสังคมว่ามีบรรทัดฐานในการมองอย่างไร

เมื่อสังคมไม่ได้เทิดทูนความบริสุทธิ์ คำถามอย่างที่ผู้ชายไทยถูกถามบ่อย ๆ ประมาณว่า “ถ้าแฟนของคุณไม่บริสุทธิ์จะรู้สึกยังไง” ก็จะไม่เป็นประเด็นขึ้นมา ผู้ชายญี่ปุ่นไม่ได้หวังอยู่แล้วว่าตัวเองจะเป็น “แมลง(ตัว)ภู่” รายแรกที่ได้คลอเคลีย “ดอกไม้แรกแย้ม” ผู้หญิงเองก็ไม่คาดหวังอะไรแบบนั้นกับผู้ชายเหมือนกัน คำว่า “บริสุทธิ์” เป็นของคู่กับวัยเด็ก ถ้าจะหาคนญี่ปุ่นที่อายุเกิน 20 แล้วยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง อาจจะหายากกว่าขิงข่าตะไคร้ใบมะกรูดในกรุงโตเกียวเสียอีก

สำหรับคนไทยที่คิดจะมีแฟนเป็นคนญี่ปุ่น คงต้องบอกให้เตรียมใจไว้ในหลายๆ เรื่องรวมทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับเอ็กซ์ทิวิตี้ในท้ายที่สุดด้วย ก่อนอื่นควรทราบว่าคนญี่ปุ่นมองหาเสน่ห์ทางเพศ (sex appeal) ตรงไหนกันบ้าง เกี่ยวกับเรื่องนี้ นิตยสารด้านสุขภาพของญี่ปุ่นชื่อ “ทาร์ซาน” (Tarzan) ลงผลการสำรวจครั้งใหญ่ในฉบับเดือนมกราคม 2547 ปักษ์หลังว่า ในร่างกายผู้ชาย ส่วนที่หญิงญี่ปุ่นมองแล้วรู้สึกวาบหวามหัวใจคือ 1) แผ่นอก 2) แขนและมือ 3) ก้น 4) บั้นเอวและท้อง 5) ขา ส่วนผู้ชายจะรู้สึกเช่นเดียวกันเมื่อมองผู้หญิงที่ 1) ทรวงอก 2) ก้น 3) ขา 4) บั้นเอวและท้อง 5) คอและช่วงไหล่

ใครมีมาแต่เกิดก็ถือว่าโชคดีไป แต่ไม่ต้องเสียใจถ้าบังเอิญมีเกินหรือขาดไป เพราะเท่าที่ได้ยินมาคือ นิสัยต่างหากคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการคบกัน และทั้งผู้หญิงผู้ชายญี่ปุ่นก็จะมักแพ้ความใจดีของคนไทย (ตราบใดที่ไม่ทำตัวติดหนึบ ตามเช็คสามเวลาหลังอาหารเหมือนคู่รักคนไทย เพราะคนญี่ปุ่นมักมีโลกส่วนตัวของตัวเองแม้แต่ระหว่างคนที่เป็นแฟนกัน)

อีกเรื่องหนึ่งคือ คนญี่ปุ่นไม่ค่อยบอกรักกัน ถ้าคิดจะจำบทของโกโบริกับอังศุมาลินที่บอกรักกันตอนโกโบริใกล้จะตายว่า “อนาตะ โอ อาอิชิ มาสุ” (“คู่กรรม” บทที่ 89-90; ตัวสะกดภาษาไทยคัดลอกตามที่ปรากฏในบทประพันธ์) ไปพูดกับคนญี่ปุ่นละก็ ขอเตือนไว้ก่อนว่าคนฟังอาจสะดุ้งและอิหลักอิเหลื่อที่ได้ยินแม้ว่าอาจรักชอบกันจริง ๆ ก็ตาม

คนญี่ปุ่นได้รับการสอนให้เก็บอารมณ์ ไม่แสดงออกมาให้ใครเห็นง่าย ๆ คู่รักญี่ปุ่นจึงไม่ค่อยบอกรักกันและใช้การกระทำเป็นตัวแสดงมากกว่า จะไม่มีการพูดพร่ำเพรื่อว่า “I love you” เหมือนวัฒนธรรมอเมริกัน ถ้าคนญี่ปุ่นจะบอกรักกันจะใช้คำว่า “ซุกิ” (suki; 好き) และพูดประโยคว่า “...งะ ซุกิ” (...ga suki; …が好き) แปลว่า “ชอบ...”

เคยฟังเพลงอิคคิวซังไหมล่ะครับ? เพลงที่ร้องว่า “ซุกิ ซุกิ ซุกิ” คำเดียวกันนี้แหละ แปลว่า ชอบ ซึ่งจะหมายถึง “รัก” ได้ด้วย ส่วนประโยค “ผม/ฉัน รักคุณ“ ตามภาษาญี่ปุ่นมาตรฐานที่ว่า “อะนะตะ โอะ ไอ ชิเตะ อิรุ” (Anato o aishite iru; あなたを愛している。) หรือ “อะนะตะ โอะ ไอ ชิเตะ อิมะซุ” (Anata o ai shitte imasu; あなたを愛しています。) ซึ่งสุภาพกว่าประโยคแรกนั้น แทบไม่ได้ใช้ในชีวิตจริงเลยยกเว้นในละครหรือนิยาย ฉะนั้น อย่าคาดหวังและอย่าเสียใจถ้าไม่ได้ยินคำว่า “รัก”, “เป็นห่วง”, “คิดถึง” สามเวลาหลังอาหาร เพราะการแสดงความรักของคนญี่ปุ่นจะออกไปทางการกระทำ

การกระทำเพื่อเน้นย้ำความรักของคู่ที่เริ่มจะเป็นแฟนกันหรือเป็นแฟนกันแล้วคือ เอ็กซ์ทิวิตี้ อันนี้ผมไม่ได้เดาไปเอง แต่นิตยสารดังชื่อ “อังอัง” (An An) ของญี่ปุ่นฉบับวันที่ 8 สิงหาคม 2550 จัดสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างพันกว่าคน ได้ผลออกมาว่า 84% เชื่อว่า เอ็กซ์ทิวิตี้ ‘จำเป็น’ สำหรับการบ่มเพาะความรักให้งอกงาม ถ้าคิดว่าเปอร์เซ็นต์สูงอย่างนี้คงเป็นเพราะผู้ชายญี่ปุ่นดึงตัวเลข ขอบอกว่า... ไม่ใช่ เพราะคนที่ตอบการสำรวจกลับมาส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง และถ้าแยกเป็นความเห็นของผู้ชายอย่างเดียว ผู้ชาย 81% คิดว่าเอ็กซ์ทิวิตี้จำเป็น นั่นหมายความว่า ผู้หญิงญี่ปุ่นก็มีมุมมองเรื่องนี้ไม่ต่างจากผู้ชายหรืออาจจะ ‘กระตือรือร้น’ กว่าด้วยซ้ำ เมื่อหญิงชายญี่ปุ่นตกลงปลงใจเป็นแฟนกับใครแล้ว จะมีเอ็กซ์ทิวิตี้ตามมาภายใน 1-2 เดือน นี่ยังถือว่านาน โดยทั่วไปดำเนินการกันตั้งแต่อาทิตย์แรก “อังอัง” ว่าไว้อย่างนั้นอีก

มาถึงตรงนี้ หลายคนคงได้คำตอบแล้วว่า ถ้าเป็นแฟนกับคนญี่ปุ่นแล้วคิดจะสืบสานความรักให้ยั่งยืนจะต้องทำอย่างไร ผมถึงต้องบอกให้เตรียมใจไว้ก่อนตั้งแต่แรก เพราะอาจเกิดสถานการณ์ที่ว่า คำว่ารักก็ไม่ได้ฟังแล้วยังถูกรุกเร้าเข้ามาอีก คนญี่ปุ่นดีแต่ทำทะลึ่งกระนั้นหรือ? เขาไม่ได้ทะลึ่งหรอก แต่เขามองว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ และคาดหวังว่าทุกคนน่าจะเป็นเหมือนๆ กัน ฉะนั้น ถ้าเราคนไทยเกิดมีศรรักยี่ห้อญี่ปุ่นปักกลางใจ แต่รู้ว่าตัวเองยังไม่ถึงวัยอันเหมาะสมที่จะปล่อยอารมณ์เข้าสู่เอ็กซ์ทิวิตี้ ก็บอกเขาไปว่าค่านิยมไทยไม่เห็นดีเห็นงามกับการทำตามใจกิเลสแบบนี้ แต่เขาจะรับรู้และเข้าใจเราแค่ไหน ผมตอบไม่ได้...ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของบุญของกรรม

**********

คอลัมน์ญี่ปุ่นมุมลึก โดย ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์ แห่ง Tokyo University of Foreign Studies จะมาพบกับท่านผู้อ่านโต๊ะญี่ปุ่น ทุกๆ วันจันทร์ ทาง www.manager.co.th

กำลังโหลดความคิดเห็น