xs
xsm
sm
md
lg

ตากระตุก สาเหตุ เกิดจากอะไร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สาเหตุของตากระตุก

อาการตากระตุก มักเกิดจากการนำไฟฟ้าของกระแสประสาทจากสมองมาที่กล้ามเนื้อเปลือกตา ซึ่งในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่า อาการนี้เกิดจากสาเหตุอะไร เพราะในบางครั้งอาการตากระตุกก็อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว หรือไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า แต่ทั้งนี้ก็ยังมีสาเหตุร่วมที่สามารถอธิบายได้ดังนี้
1. ความเครียด

หากเกิดความเครียด ร่างกายจะตอบสนองโดยทำให้เกิดอาการตากระตุกขึ้นได้ เนื่องจากความเครียดมีผลต่อการหลั่งฮอร์โมนบางตัว ซึ่งฮอร์โมนเองก็ส่งผลต่อกล้ามเนื้อได้โดยตรงนั่นเอง
2. นอนไม่เป็นเวลา

โดยปกติแล้ว กลางคืนเป็นช่วงเวลาที่ควรนอนหลับพักผ่อน แต่บางคนกลับใช้เวลากลางคืนในการทำงาน หรืออ่านหนังสือ ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อตาต้องใช้งานมากกว่าปกติ ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดอาการล้าและนำมาซึ่งอาการตากระตุกได้
3. ตาแห้ง

อาการตาแห้งสามารถเกิดได้จากการจ้องคอมพิวเตอร์นานกว่า 7 ชั่วโมงขึ้นไป ซึ่งทำให้สารธรรมชาติที่ช่วยในการหล่อลื่นดวงตาลดลงจนทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ โดยเหตุนี้อาจทำให้เกิดอาการตากระตุกตามมา
4. ขาดวิตามินบางชนิด

อาการตากระตุกสามารถเกิดขึ้นจากการที่ร่างกายได้รับวิตามินบี 12 ไม่เพียงพอ ทำให้กล้ามเนื้อและเส้นประสาทมีปัญหาและเกิดอาการกระตุกขึ้น
5. โรคภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้ส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องต่อการเกิดอาการตาแห้งและคันได้ซึ่งเป็นอาการที่ส่งผลกระตุ้นต่อการเกิดอาการตากระตุก เนื่องจากฮีสตามีนจะถูกปล่อยผ่านทางเนื้อเยื่อ อันเป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญ
แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ใครที่มีปัญหาริ้วรอย ผิวขาดความชุ่มชื่น ขาดคอลลาเจนหรืออายุเริ่มมากขึ้น

เราอยากชวนคุณมาทดสอบ (มีค่าตอบแทนให้)
คลิก
Istock 490582789
ภาวะตากระตุกแบบเรื้อรัง

อาการตากระตุกแบบเรื้อรัง สามารถที่จะเรียกได้ว่า โรคตากระปริบ (Bleb pharospasm) ซึ่งเป็นอาการของตากระตุกเช่นเดียวกัน โดยจะเกิดการกระตุกของหนังตาทั้ง 2 ข้าง โดยมีสาเหตุ ได้แก่

การดื่มแอลกอฮอล์ หรือคาเฟอีนมากจนเกินไป
เยื่อบุตาอักเสบ
การระคายเคืองกับสิ่งแวดล้อม
ภาวะไวต่อแสง

อาการตากระตุก

อาการตากระตุกมักจะเป็นกับเปลือกตาบน แต่ละรายจะมีระดับความรุนแรงในการกระตุกที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนมากมักพบอยู่ในระดับไม่รุนแรง ในบางรายก็อาจก่อให้เกิดความรำคาญเพราะมีการกระตุกของใบหน้าควบคู่กันด้วย

อาการตากระตุกเมื่อเป็นแล้วมักจะไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดใดๆ และไม่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย อีกทั้งยังสามารถหายได้เองโดยที่ไม่ต้องเข้ารับการรักษา แต่ในบางกรณีการเกิดตากระตุกอาจเป็นสัญญาณแฝงของโรคเรื้อรัง หรือมีความรุนแรงควบคู่ ก็มักจะพบอาการเหล่านี้ได้น้อย โดยเฉพาะผู้ป่วยบางรายที่มักจะมีอาการกระตุกในส่วนอื่นๆ ของใบหน้าที่เกิดขึ้นร่วมด้วย
ภาวะแทรกซ้อนของอาการตากระตุก

1. โรคอัมพาตใบหน้า (Bell’s palsy) มักจะเกิดร่วมกับอาการตากระตุก โดยจะเกิดจากการที่เส้นประสาทบนใบหน้าอักเสบและบวม

2. ภาวะกล้ามเนื้อบิดเกร็ง (dystonia) เป็นภาวะที่กล้ามเนื้อเกิดความผิดปกติในการเคลื่อนไหว โดยที่ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้และจะมีการเป็นซ้ำๆ

3. โรคคอบิดเกร็ง (cervical dystonia) อาการจะมีความคล้ายคลึงกันกับภาวะกล้ามเนื้อบิดเกร็งทั่วไป แต่ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบริเวณกล้ามเนื้อคอ 4.โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple sclerosis) เป็นโรคที่เกิดจากปลอกประสาทในระบบประสาทอักเสบ

5. โรคพาร์กินสัน(Parkinson’s disease) เป็นโรคที่ทำให้ร่างกายเกิดอาการสั่นอยู่ตลอดเวลา

6. โรคทูเร็ตต์ (Tourette’s syndrome) เป็นกลุ่มอาการชนิดหนึ่งที่มีความผิดปกติทางระบบประสาทจนทำให้เกิดอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ 7. Meige Syndrome เป็นโรคทางระบบประสาทที่พบได้น้อย ทำให้มีการเคลื่อนไหว หดเกร็งของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติในบริเวณ แก้มทั้ง 2 ข้าง ปาก ลิ้น และลำคอ
การวินิจฉัยตากระตุก

การวินิจฉัยอาการตากระตุก แพทย์จะสอบถามประวัติของผู้ป่วยก่อน จากนั้นจะตรวจร่างกาย ตรวจตาเพื่อแบ่งแยกโรคในดวงตาได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น บางรายอาจจ้องการตรวจด้านอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น
ตรวจสมองด้วยการทำ MRI (Brain MRI)

เป็นการตรวจดูสมองว่าภายในมีเนื้องอก หรือมีความผิดปกติใดๆ หรือไม่ โดยเฉพาะในส่วนของเส้นประสาทที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อกระตุก เพื่อจะได้หาหนทางในการรักษาต่อไป
การตรวจคลื่นไฟฟ้าในสมอง (Electroencephalo graphy)

เป็นการตรวจเพื่อหาบริเวณที่ปล่อยคลื่นไฟฟ้าออกมาจนส่งผลทำให้เกิดอาการตากระตุก โดยจะมีการบันทึกสัญญาณไฟฟ้าที่ถูกปล่อยออกมาร่วมด้วย
วิธีรักษาโรคตากระตุก

โรคตากระตุกสามารถรักษาได้หลากหลายรูปแบบตั้งแต่วิธีที่ผู้ป่วยสามารถทำการรักษาได้ด้วยตนเองและวิธีจากทางการแพทย์ ซึ่งมีดังนี้
การรักษาด้วยทางการแพทย์

การใช้ยา
การรักษาโรคตากระตุกในอับดับต้นๆ แพทย์จะแนะนำให้ใช้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการ ในบางรายสามารถใช้ยาเหล่านี้เพื่อช่วยหยุดอาการตากระตุกชั่วคราวเท่านั้น ยาเหล่านั้นได้แก่ ยาลอราซีแพม (Lorazepam) ยาโคลนาซีแพม (ClonaZepam) และยาไตรเฮกซีเฟนิดิล (Trihexyphenidyl)

การฉีดโบท็อกซ์
การรักษาตากระตุกด้วยการฉีดโบท็อกซ์จะใช้ก็ต่อเมื่อผู้ป่วยเป็นโรคตากระตุกแบบเรื้อรัง โดยแพทย์จะฉีดโบท็อกซ์ หรือโบทูลินั่มท็อกซิน เพื่อช่วยหยุดอาการตากระตุก แต่ก็ช่วยหยุดอาการดังกล่าวได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น

การผ่าตัด
เช่นเดียวกันกับการฉีดโบท็อกซ์ซึ่งจะใช้กับผู้ที่ป่วยเป็นแบบเรื้อรัง โดยเป็นการผ่าตัดกล้ามเนื้อและเส้นประสาทที่อยู่ในเปลือกตออก แต่เป็นวิธีที่ไม่ได้รับความนิยมในการรักษา

การฝังเข็ม
การรักษาอาการตากระตุกสามารถใช้การฝังเข็มเป็นตัวช่วยได้แต่จะต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญในการฝังเข็มเท่านั้น การรักษาอาการตากระตุกด้วยการฝังเข็มนี้จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณรอบดวงตาได้

การรักษาด้วยตนเอง

การประคบ
เมื่อเกิดอาการตากระตุก การเลือกประคบร้อนและประคบเย็นสามารถที่จะช่วยบรรเทาอาการตากระตุกได้ โดยเริ่มแรกให้เลือกจากประคบอุ่นก่อน แล้วก่อนนอนให้ประคบเย็นโดยให้ทำทีละข้างที่เกิดอาการ และใช้ระยะเวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น

การนวด
เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ผู้เป็นโรคตากระตุกสามารถทำได้ด้วยตนเองโดยใช้การนวดกดจุด วิธีนวดเริ่มจากนวดเป็นวงกลมไปบริเวณรอบดวงตาโดยใช้แค่หัวแม่มือในการนวดเท่านั้น เพียงเท่านี้ก็จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณรอบดวงตาได้มากขึ้นแล้ว

วิธีป้องกันโรคตากระตุก

ไม่มีวิธีป้องกันอาการตากระตุกที่ได้ผลแบบแน่นอน เพราะหลายครั้งอาการตากระตุกมักเกิดขึ้นเองโดยที่เราไม่ทันตัวและส่วนมากก็มักจะหายไปได้เองอีกด้วย นอกจากผู้ที่เป็นแบบเรื้อรังที่มักจะเป็นระยะยาว

ทางที่ดีที่สุดแนะนำให้หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพของตนเอง โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง เช่น ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เพื่อช่วยลดการกระตุ้นความเครียดให้เกิดขึ้น
วิธีดูแลตนเอง เมื่อเป็นโรคตากระตุก

โรคตากระตุกสามารถที่จะดูแลตัวเองได้ง่ายๆ ซึ่งมีหลายวิธีที่สามารถนำมาใช้ โดยทำได้ดังนี้

นอนพักผ่อนให้เพียงพอ โดยควรนอนหลับพักผ่อนให้ได้ 7 - 8 ชั่วโมงต่อวัน
จำกัดระยะเวลาในการใช้โทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ และก่อนเข้านอนก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ดังกล่าว
จำกัดปริมาณคาเฟอีน และแอลกอฮอล์
พยายามกำจัดความเครียด โดยใช้กิจกรรมผ่อนคลาย เช่น เล่นโยคะ นั่งสมาธิ ออกกำลังกาย

ตากระตุกแม้เป็นอาการที่ไม่อันตราย แต่ก็สามารถสร้างความรำคาญให้กับผู้ที่เป็นได้มากพอสมควร แนะนำให้พยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดอาการตากระตุก เพียงเท่านี้ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการดังกล่าวได้มากขึ้นแล้ว


กำลังโหลดความคิดเห็น