xs
xsm
sm
md
lg

ตลาดทุนจี้รัฐเร่ง 2 ล้าน ล. หากไม่คืบ...กลุ่มรับขึ้นเขียงหั่นประมาณการ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือปีนี้ว่า ยังมีตัวแปรหลายอย่างเข้ามากดดัน โดยมีแนวรับสำคัญที่ 1,380 จุด ทั้งนี้ ที่ผ่านมาพอประเทศไทยมีปัญหาการเมือง หากเพียงมีแค่การนัดชุมนุมจะส่งผลให้ตลาดหุ้นลดลง3% และหากประเด็นการชุมนุมได้รับการตอบรับมีประชาชนเข้าร่วมมากขึ้น จะส่งผลต่อตลาดหุ้น 5% สุดท้ายหากเกิดเหตุการณ์รุนแรงก็จะมีผลต่อตลาดหุ้นประมาณ 10% แต่เมื่อทุกอย่างยุติดัชนี และราคาหุ้นก็จะฟื้นตัวกลับมาได้หมด อีกทั้งยังมีเรื่องมาตรการ QE3 เข้ามากดดัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจคือ การขับเคลื่อนโครงการลงทุนภาครัฐ ซึ่งจากเหตุการณ์ในปัจจุบัน คาดว่าจะมีการยืดเยื้อออกไปนานเป็นพิเศษ และจะทำให้ประเทศตกอยู่ในสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้โดยรวมเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะเติบโตไม่ถึง 5% และเต็มที่ได้แค่ 4%

“กำไรต่อหุ้น (earning per share : EPS) ในปี 2557 จะอยู่ประมาณ 8-10% แต่ระดับ P/E ของตลาดน่าจะลดลง เพราะความเสี่ยงทางการเมืองน่าจะยังมีอยู่ ทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 6% และปันผลในระดับ 3.5% รวมทั้งปีผลตอบแทนเฉลี่ยต่อหุ้นจะอยู่ที่ 9.5%”

ขณะเดียวกัน ประเมินว่าหากโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาท มีความล่าช้า หรือเกิดปัญหาสะดุด จะมีความเสี่ยงต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่จะถูกนักวิเคราะห์ปรับลดประมาณการ ขณะที่กลุ่มยานยนต์ เชื่อว่าดีมานด์ที่แท้จริงจะเริ่มกลับในปี 2558 และจะมีผลต่อธนาคารที่มีพอร์ตปล่อยสินเชื่อรถยนต์จำนวนมากด้วย เช่นเดียวกับกลุ่มที่อยู่อาศัย หากสังเกตจะพบว่ายอดจองที่อยู่อาศัย และความสนใจจากประชาชนในปัจจุบันไม่เหมือนกับที่ผ่านมา ส่วนหุ้นสาธารณูปโภค เช่น ทางด่วน รถไฟฟ้าจะเติบโตต่อไปเพราะมีดีมานด์เข้ามาต่อเนื่อง เช่นเดียวกับกลุ่มท่องเที่ยว ที่จะปรับตัวขึ้นในปีนี้ 20% และปีหน้ายังเติบโตต่อ หากการชุมนุมยังไม่ดุเดือด หรือขยายวงกว้างไปสู่ที่อื่น

ในขณะที่ นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ที่ยังไม่มีความแน่นอน จากปัญหาความขัดแย้งการเมือง จึงส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยอย่างมาก ประกอบกับประเทศที่เป็นแหล่งทุนรายใหญ่ เช่น อเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในฟากทวีปยุโรปยังไม่ฟื้นตัวโดยสมบูรณ์ จึงยังไม่มีเม็ดเงินที่จะใหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยขณะนี้

ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีสังเกตได้ว่าหุ้นกลุ่มธนาคารจะมีการปรับตัวขึ้นสูง จากอานิสงส์ข่าวของโครงการ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไร และกลุ่มสื่อสารที่มีการเติบโตขึ้นสูงทั้งจากการขยายโครงข่าย 3G และการปรับเปลี่ยนมาใช้สัญญาณทีวีใหม่เป็นระบบดิจิตอล แต่นักลงทุนควรจับตาสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง และมาตรการ QE ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจจะส่งผลทำให้ดัชนีหุ้นไทยในปีหน้าปรับตัวขึ้น-ลงรุนอีกครั้ง โดยคาดว่าดัชนีหุ้นไทยในไตรมาสที่ 1 ปีหน้าจะมีค่า P/E อยู่ที่ 15 เท่า และดัชนี SET INDEX คาดว่าจะอยู่ที่ 1,500-1,570 จุด

ด้าน นายไพบูลย์ นลินทรางกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ กล่าวว่า จากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ของไทยไม่เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจคำนวนไว้ที่ 5% แต่กลับเติบโตแค่เพียง 3% ในขณะที่บางประเทศในทวีปยุโรปที่เริ่มฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ กลับมีการเติบโตสูงถึง 10-20% อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาหุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดปรับตัวลดลงนั้น ถือว่าส่งผลดีให้นักลงทุนที่สนใจเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้นักลงทุนควรเลือกหุ้นที่มีความสามารถในการทำกำไรมากกว่าหุ้นความเสี่ยงสูง และมีโอกาสขาดทุนได้ง่าย เช่น หุ้นท่าอากาศยานไทย และดาวเทียม ที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 100% และไม่ควรลงทุนในหุ้นที่อ้างอิงกับนโยบายภาครัฐมากเกินไป แต่ควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตด้วยตัวเอง เพราะจะแข็งแกร่งไม่แกว่งตัวผันผวนตามตลาด จากดีมานด์ซัปพลายที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

“โอกาสที่ต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติมมากน้อยแค่ไหนขึ้นกับความชัดเจนในการเดินหน้าโครงการรัฐบาล หากยังไม่ชัดเจนก็จะเลือกเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเพื่อนบ้านที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า โครงสร้างพื้นฐานยังก็ต้องเกิดในทุกรัฐบาล ความขัดแย้งย่อมมีผลกระทบ แต่หากไม่มีความคืบหน้าก็จะมีผลต่อเครดิต และความเชื่อมั่นของประเทศปีหน้าคาดดัชนีเลย 1,500 จุด หากไม่มีการเมืองเข้ากดดัน และเศรฐกิจมีการเติบโต ก็อาจได้เห็น 1,600 จุดได้”
กำลังโหลดความคิดเห็น