เอเอฟพี - สหประชาชาติระบุว่านับจนถึงขณะนี้มีประชาชนมากกว่า 286,000 คน ในพม่าต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นจากการสู้รบระหว่างรัฐบาลทหารและกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ และอธิบายว่าเป็นการลุกลามครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่รัฐประหารปี 2564
“เพื่อนร่วมงานด้านสิทธิมนุษยธรรมของเราบอกกับเราว่าการต่อสู้รุนแรงระหว่างองค์กรติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ และกองทัพพม่ายังคงดำเนินต่อไปและขยายลุกลามไปยังพื้นที่อื่นๆ รวมทั้งเมืองที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น” ฟาร์ฮาน ฮัก รองโฆษกของเลขาธิการสหประชาชาติ ระบุ
“การลุกลามนี้ถือเป็นครั้งใหญ่ที่สุดและแพร่กระจายในทางภูมิศาสตร์มากที่สุดนับตั้งแต่การยึดอำนาจของทหารในปี 2564” รองโฆษกของอันโตนิโอ กูเตอร์เรส กล่าว และเสริมว่าพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดอยู่ในรัฐชาน รัฐกะยา รัฐยะไข่ รัฐชิน และภูมิภาคสะกาย
“จนถึงวันอังคาร มีผู้พลัดถิ่นแล้วมากกว่า 286,000 คน นับตั้งแต่การสู้รบทวีความรุนแรงขึ้นในวันที่ 26 ต.ค. โดยจำนวนผู้พลัดถิ่นยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” ฟาร์ฮาน ฮัก กล่าว
การสู้รบปะทุขึ้นเมื่อปลายเดือน ต.ค. ทางพื้นที่ตอนเหนือของรัฐชาน ใกล้กับชายแดนจีน ที่กลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ 3 กลุ่ม ประสานการโจมตีต่ออำนาจส่วนกลาง
กองทัพอาระกัน ที่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพันธมิตรยังเปิดฉากการโจมตีเมื่อสัปดาห์ก่อนในรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของประเทศ ในเวลาเดียวกันกับที่การปะทะระหว่างนักสู้ของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารและกองทัพกำลังดุเดือดอยู่ในรัฐกะยา ทางตะวันออก ไม่ไกลจากชายแดนไทย
“สถานการณ์ความมั่นคงในรัฐยะไข่ยังคงน่าวิตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองเปาก์ตอ ที่ประชาชนราว 20,000 คน หลบหนีไปยังพื้นที่ปลอดภัยตั้งแต่กลางเดือนนี้” ฟาร์ฮาน ฮัก ระบุ
เขายังระบุว่า ช่องทางเข้าออกเมืองถูกปิด และไม่สามารถเข้าถึงได้อีกต่อไปส่งผลให้ประชาชนหลายร้อยคนติดอยู่ในเมือง นอกจากนี้ ยังไม่สามารถเข้าถึงชาวโรฮิงญาราว 26,000 คนในค่ายผู้ลี้ภัย 5 แห่งในเมืองเปาก์ตอได้เช่นกัน
ด้วยในเวลานี้มีผู้พลัดถิ่นในพม่ามากกว่า 2 ล้านคน ฮักได้เรียกร่องให้มีการระดมทุนอย่างเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม.