xs
xsm
sm
md
lg

ลาวจำคุกรวด 1-5 ปี "แก๊งลอบพาโควิดข้ามโขง" ต้นตอระบาดใหญ่เวียงจันทน์หลังสงกรานต์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


จำเลยทั้ง 6 ปรากฏตัวที่ศาลประชาชนนครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อรับฟังคำตัดสินคดีลักลอบพาคนไทยข้ามแม่น้ำโขงไปเที่ยวสถานบันเทิงหลายแห่งในเวียงจันทน์ จนเป็นต้นตอการระบาดของโควิด-19 ในลาว ช่วงหลังสงกรานต์
MGR Online - ศาลประชาชนลาวตัดสินจำคุกรวด 6 ผู้เกี่ยวข้องกับการลักลอบพา 2 คนไทยข้ามแม่น้ำโขงจากมุกดาหาร ไปเที่ยวต่อตามสถานบันเทิงหลายแห่งในเวียงจันทน์ จนกลายเป็นต้นตอของการระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 ในลาวหลังสงกรานต์

ศาลประชาชนนครหลวงเวียงจันทน์ ได้มีคำตัดสินเมื่อเช้าวันนี้ (15 ก.ค.) ในคดีที่นางมอนมีนา สุดทิดา หรือตีน่า ผู้ป่วยโควิด-19 ลำดับที่ 59 และผู้เกี่ยวข้องอีก 5 คน ได้แก่ นางพาวะดี วิพากอน หรือตุกติก นายพาน ไซยะลาด นายพูใส สีสะหวัน หรือตี้ นางสอนมาลี ดวงสะหวัด หรือนีน่า และนายสมปะสง สุลิยะวงสา หรือหำ

คดีนี้เป็นตามคำสั่งฟ้องของอัยการประชาชนนครหลวงเวียงจันทน์ ฉบับที่ 774-779 ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2564 ในข้อหาขวนขวายส่งคนออก หรือนำคนเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย การแพร่เชื้อโรคร้ายแรง และการปิดบังการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 128 วรรค 2 มาตรา 199 วรรค 3 และมาตรา 380 วรรค 1

หลังผ่านกระบวนการไต่สวน ตรวจสอบหลักฐานและเอกสารต่างๆ อย่างละเอียดแล้ว ศาลเห็นว่ามีหลักฐานรัดกุม หนักแน่นที่ยืนยันการกระทำผิดของจำเลยทั้ง 6 คน ซึ่งเป็นการกระทำโดยเจตนา เพราะจำเลยทั้ง 6 รู้ดีอยู่แล้วว่าโรคโควิด-19 กำลังระบาดอย่างรุนแรงในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีกลุ่มเสี่ยง ทำให้ลาวต้องปิดด่านเข้าออกระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด

ดังนั้น ศาลประชาชนนครหลวงเวียงจันทน์ จึงมีคำสั่งจำคุกจำเลยทุกคน ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้

- นางพาวะดี วิพากอน หรือตุกติก อายุ 26 ปี จำเลยที่ 1 จำคุก 5 ปี 1 เดือน 15 วัน และปรับเป็นเงิน 52,500,000 กีบ
- นางมอนมีนา สุดทิดา หรือตีน่า อายุ 22 ปี จำเลยที่ 2 จำคุก 3 ปี 7 เดือน 15 วัน และปรับเป็นเงิน 27,500,000 กีบ
- นายพาน ไซยะลาด อายุ 46 ปี จำเลยที่ 3 จำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับเป็นเงิน 25,000,000 กีบ
- นายพูใส สีสะหวัน หรือตี้ อายุ 34 ปี จำเลยที่ 4 จำคุก 3 ปี 7 เดือน 15 วัน และปรับเป็นเงิน 27,500,000 กีบ
- นางสอนมาลี ดวงสะหวัด หรือนีน่า อายุ 21 ปี จำเลยที่ 5 จำคุก 1 ปี 7 เดือน 15 วัน และปรับเป็นเงิน 25,000,000 กีบ
- นายสมปะสง สุลิยะวงสา อายุ 24 ปี จำเลยที่ 6 หรือหำ จำคุก 1 ปี 7 เดือน 15 วัน และปรับเป็นเงิน 25,000,000 กีบ


อนึ่ง คดีนี้เกิดขึ้นในช่วงวันที่ 7-16 เมษายน ซึ่งตรงกับเทศกาลปีใหม่ลาว หรือสงกรานต์ คนไทย 2 คน คือ นายชิตพล (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี ชาวจังหวัดร้อยเอ็ด และนายธนกฤต (สงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี ทั้งคู่เป็นเพื่อนกับนางพาวะดี วิพากอน จำเลยที่ 1 ได้ลักลอบข้ามแม่น้ำโขงจากจังหวัดมุกดาหารไปยังแขวงสะหวันนะเขต โดยที่นายพูใส สีสะหวัน หรือตี้ จำเลยที่ 4 ซึ่งขณะนั้นยังเป็นตำรวจในแขวงสะหวันนะเขต รับรู้อยู่ด้วย

จากนั้นนายชิตพล นายธนกฤต และนางพาวะดี ได้เดินทางไปนครหลวงเวียงจันทน์เพื่อพบกับนางมอนมีนา สุดทิดา จำเลยที่ 2 และได้เที่ยวตามสถานบันเทิงหลายแห่งในเวียงจันทน์

วันที่ 16 เมษายน นายชิตพล นายธนกฤต และนางพาวะดี ได้ลักลอบข้ามแม่น้ำโขงจากนครหลวงเวียงจันทน์กลับมายังจังหวัดหนองคาย และเริ่มมีอาการป่วย วันที่ 17 เมษายน เข้ารับการตรวจพบว่าทั้ง 3 ติดโควิด-19 จึงเข้ารักษาตัวยังโรงพยาบาลหนองคาย

ผลจากการลักลอบข้ามไปเที่ยวยังสถานบันเทิงในนครหลวงเวียงจันทน์ของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ ทำให้นางมอนมีนา ป่วยเป็นโควิด-19 และเกิดการระบาดอย่างกว้างขวางในนครหลวงเวียงจันทน์ตามมาอย่างรวดเร็วในภายหลัง

ทางการลาวได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยเพื่อให้ดำเนินคดีกับคนไทยที่ลักลอบข้ามไปเที่ยวในลาวและเป็นต้นตอของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในลาว

วันที่ 23 เมษายน พ.ต.ท.พีรภัทร์ ปรมพุฒิ รองผู้กำกับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จังหวัดหนองคาย ได้กล่าวโทษนายชิตพล กับนายธนกฤต ต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรหนองคาย ในข้อหาเป็นบุคคลสัญชาติไทย เดินทางเข้ามาและออกไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านเขตท่า สถานี ตามประกาศในกฎกระทรวง

ส่วนนางพาวะดี ได้อายัดตัวไว้และส่งกลับไปดำเนินคดีในฝั่งลาวภายหลัง

ต่อมา วันที่ 7 พฤษภาคม พล.ท.วิไล หล้าคำฟอง รัฐมนตรีกระทรวงป้องกันความสงบ ของลาว ได้ลงนามในหนังสือฉบับที่ 825/ปกส. ว่าด้วยการปฏิบัติวินัยนายตำรวจ โดยในหนังสือระบุว่า ร.อ.พูใส สีสะหวัน นายตำรวจ สังกัดกองบัญชาการป้องกันความสงบ (บก.ปกส.) แขวงสะหวันนะเขต มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีชายไทย 2 คน ที่ลักลอบข้ามไปยังลาวโดยผิดกฎหมาย ระหว่างวันที่ 7-16 เมษายน และเป็นต้นเหตุสำคัญให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างกว้างขวางในลาวตามมา

ดังนั้น จึงมีคำสั่งให้ ร.อ.พูใส ออกจากกองกำลัง ปกส. โดยไม่ได้รับการอุดหนุนเบี้ยหวัดบำนาญใดๆ และให้ บก.ปกส.สะหวันนะเขต เรียกคืนชั้นยศ เครื่องแบบ หมวก อาวุธ รวมถึงเครื่องหมายทั้งหมดของ บก.ปกส.จาก ร.อ.พูใส โดยทันที


กำลังโหลดความคิดเห็น