จากกรณีที่มีกระแสเรียกร้องว่า ต้องการให้รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์อีกครั้งเพื่อหยุดการแพร่ระบาดของโควิด-19ที่ระบาดอย่างหนักในขณะนี้นั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีความเคลื่อนไหวจาก5 สมาคมใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญต่อภาคเศรษฐกิจของไทย หรือ “บิ๊กไฟว์” ประกอบด้วย คณะกรรมการค้าปลีกและบริการ หอการค้าไทย, สมาพันธ์ SME ไทย, สมาคมผู้ค้าปลีกไทย, สมาคมศูนย์การค้าไทย และสมาคมภัตตาคารไทย
โดยทั้ง 5 สมาคมฯ ระบุว่า ด้วยความตระหนักถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้ง 5 สมาคมฯ จึงมีแนวคิดและข้อเสนอแนะว่า การล็อคดาวน์เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ จำเป็นต้องมีแผนปฎิบัติการเชิงรุกร่วมด้วย และต้องมีมาตรการเยียวยาช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ที่ได้รับผลกระทบ เช่น ช่วยค่าน้ำค่าไฟ เป็นเวลา 3 เดือน, ช่วยจ่ายค่าแรงงานที่ต้องว่างงาน และชดเชยรายได้ที่หายไป เป็นต้น
ดังนั้นหากมีความจำเป็นต้องล็อคดาวน์กรุงเทพฯ และปริมณฑลเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องให้ความสำคัญกับผลกระทบของระบบเศรษฐกิจทุกระดับและการจ้างงาน ทั้ง 5 สมาคมฯ จึงขอนำเสนอแนวทางในการล็อคดาวน์เป็น 3 ระดับ ดังนี้
1. ล็อคดาวน์เป็นช่วงเวลา โดยกำหนดการเปิด-ปิดธุรกิจเหมือนช่วงหลังสงกรานต์ปี 2564 ที่ผ่านมา พร้อมเร่งแผนการนำเข้า และฉีดวัคซีนให้ทั่วถึงและเร็วที่สุด และมีมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการ SME ที่ได้รับผลกระทบ
2. ล็อคดาวน์เป็นบางคลัสเตอร์ หรือบางจุดในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดอย่างหนัก โดยจำกัดการเคลื่อนย้ายประชาชนในพื้นที่ และเร่งฉีดวัคซีนในคลัสเตอร์ให้ครบ 100% พร้อมทั้งให้การช่วยเหลือเรื่องสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน และมีมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการในคลัสเตอร์นั้นๆ
3. ล็อคดาวน์เฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยงดการเคลื่อนย้ายข้ามพื้นที่และปูพรมการฉีดวัคซีนให้ทั่วถึงโดยเร็วที่สุดโดยไม่จำเป็นต้องล็อคดาวน์ถึง 14 วัน ถ้าสามารถเร่งการฉีดวัคซีนในกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้ 100% และยังคงต้องมีมาตรการเยียวผู้ประกอบการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
โดยทั้งระบบมีการจ้างงานถึง 12 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 34% ของ GDP ประเทศ และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจรวม 5.6 ล้านล้านบาท โดยตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา ทั้ง 5 สมาคมฯ นี้ ได้ให้ความร่วมมือและสนับสนุนทุกๆ มาตรการของกระทรวงสาธารณสุข และศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เพื่อช่วยลดการแพร่ระบาดของโควิด 19 โดยได้ยกระดับมาตรการการป้องกันโควิดขั้นสูงสุดในทุกธุรกิจของเครือข่ายของสมาคมฯ มาโดยตลอด และมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการช่วยลดการแพร่ระบาดฯ และแบ่งเบาภาระของบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศที่ทำงานอย่างหนัก และต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน
นอกเหนือจากนี้ ทั้ง 5 สมาคมฯ ได้เพิ่มการสนับสนุนให้พื้นที่เพื่อเป็นจุดฉีดวัคซีน พร้อมโมเดลของระบบการทำงาน (Total Solutions) รวมทั้งเรื่องความช่วยเหลือในส่วนต่างๆ อาทิเช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ เตียงสนาม เครื่องอุปโภคและบริโภค เป็นต้น และยังเน้นย้ำเรื่อง “การ์ดไม่ตก” ในระดับสูงสุด โดยมีมาตรการให้พนักงานทำงานอยู่บ้าน แบบ WFH (Work from Home) เพื่อเป็นการลดการแพร่ระบาด และยังคงทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้ธุรกิจรายย่อย และประชาชนทั่วไป ยังคงมีรายได้และสามารถดำเนินชีวิตประจำวันบนสถานการณ์ที่ไม่ปกตินี้
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 5 สมาคมฯ ต้องขอขอบคุณ ท่านนายกรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ที่ทุ่มเทการทำงานอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งถือเป็นนักรบชุดขาวที่ต้องต่อสู้กับการแพร่ระบาดในครั้งนี้อย่างหนัก ต้องทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ระบบสาธารณสุข และคนไทยทุกคนผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทั้ง 5 สมาคมฯ มีความเชื่อว่าการรวมพลังของทุกภาคส่วน และทุกคนในครั้งนี้ เป็นการรวมกันเพื่อจุดประสงค์เดียวร่วมกันคือ ต้องการที่จะนำพาคนไทยและประเทศไทยก้าวผ่านวิกฤตโควิดครั้งนี้ไปให้ได้ ทั้ง 5 สมาคมฯ ขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะร่วมกับทุกภาคส่วนในทุกๆ เรื่องเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ในครั้งนี้ด้วยกัน