MGR Online - พระสงฆ์นำชาวบ้านดีมอโซ รัฐกะยา ออกตามเก็บศพ “นิรนาม” ที่ถูกทิ้งไว้ตามที่ต่างๆ เพื่อนำมาทำพิธีทางศาสนา ก่อนช่วยกันฝังไว้ในสุสาน หลังกองกำลังติดอาวุธประชาชนประกาศหยุดยิงชั่วคราวกับทหารพม่า
วานนี้ (16 มิ.ย.) พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ในเมืองดีมอโซ จังหวัดลอยก่อ รัฐกะยา นำโดยสยาดอที บุ่นกาน สยาดอดอบูกู และสยาดอดอโปสี่ ร่วมกับพระสงฆ์จากวัดต่างๆ รวม 18 รูป ได้นำชาวบ้านตระเวนเก็บศพผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งถูกทิ้งไว้ตามที่ต่างๆ ทั่วเมืองดีมอโซ
ศพเหล่านี้ถูกทิ้งไว้เป็นเวลานาน บางศพนอนตายอยู่ริมถนน บางศพนอนตายอยู่ในพงหญ้าข้างทาง และหลายศพนอนตายอยู่ในบริเวณบ้าน ทุกศพมีสภาพขึ้นอืด เน่าเละจนไม่สามารถระบุตัวตนได้ว่าเป็นใคร แต่เชื่อว่ามีทั้งศพของชาวบ้าน ศพของกองกำลังรักษาความมั่นคงพม่า และศพของเยาวชนที่จับอาวุธมาต่อสู้กับทหารพม่าที่เสียชีวิตจากเหตุสู้รบซึ่งเกิดขึ้นในเมืองดีมอโซต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม ปะปนอยู่คละเคล้ากันไป
พระสงฆ์และชาวบ้านต่างช่วยกันเก็บและลำเลียงศพเหล่านั้นไปยังสุสานหง่วยต่อง เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา ก่อนช่วยกันนำศพฝังลงไปในหลุมที่ขุดเตรียมไว้
ก่อนหน้านั้น 1 วัน ในวันที่ 15 มิถุนายน กองกำลังติดอาวุธกะเหรี่ยงแดง (KNDF) ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธภาคประชาชน ได้ออกประกาศหยุดสู้รบกับทหารพม่าในพื้นที่เป็นการชั่วคราว ตามการร้องขอของผู้นำทางศาสนาและชาวบ้านในพื้นที่ เพราะการสู้รบที่ดำเนินมานานเกือบ 1 เดือน ได้ส่งผลกระทบ สร้างความเสียหายแก่ชาวบ้าน ตลอดจนบ้านเรือน และทรัพย์สินของประชาชน
เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ที่เหล่าสมาชิกพรรค NLD รวมจัดตั้งขึ้นเป็นรัฐบาลเงาของพม่า ได้ออกประกาศกระตุ้นกลุ่มเยาวชนในรัฐและภาคต่างๆ ให้หยิบฉวยอาวุธเท่าที่จะหาได้ ตั้งขึ้นเป็นกองกำลังติดอาวุธภาคประชาชน (PDF) เพื่อต่อสู้กับทหารพม่า มีการเชิญชวนบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น อดีตผู้เข้าประกวดนางงาม ให้มาแต่งเครื่องแบบลายพราง โพสต์ท่าฝึกอาวุธถ่ายภาพเผยแพร่ผ่านสื่อ เชิญชวนกลุ่มอาชีพต่างๆ ให้เข้าร่วมกระบวนการต่อสู้ครั้งนี้
ในรัฐกะยามีการตั้ง KNDF ขึ้น โดยเริ่มเปิดฉากโจมตีป้อมตำรวจในเมืองโมบยี และสังหารเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงของพม่าเสียชีวิตไปในวันเดียว 13 ราย เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม จากนั้นการสู้รบอย่างรุนแรงได้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะที่เมืองดีมอโซ
ชาวกะยานับแสนคนที่หวั่นเกรงภัยจากการสู้รบต่างพากันทิ้งบ้านเรือน ไร่นา หลบหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในป่า ดำรงชีวิตด้วยความยากลำบาก ขาดแคลนทั้งเสื้อผ้า เสบียงอาหาร และยารักษาโรค
ชาวบ้านหลายคนที่หลบหนีไม่ทันก็ถูกลูกหลงเสียชีวิต ศพถูกทิ้งไว้ตามที่ต่างๆ รวมถึงในบ้านของพวกเขาเอง โดยไม่มีผู้ใดมาจัดการให้ จนในวันที่ 15 มิถุนายน เมื่อ KNDF ประกาศหยุดสู้รบชั่วคราว พระสงฆ์และชาวบ้านจึงกล้ารวมตัวกันมาช่วยจัดการกับศพที่ถูกทิ้งไว้เหล่านั้นในวันรุ่งขึ้น
การสู้รบที่เกิดขึ้นในรัฐกะยา ไม่เพียงส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านเท่านั้น การลงทุนของเอกชนในรัฐที่เล็กที่สุดของพม่าแห่งนี้ก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเช่นกัน
โดยตอนเย็นของวันที่ 10 มิถุนายน มีผู้พบว่าที่ฟาร์มเลี้ยงหมูแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ริมบนถนนหง่วยต่อง ห่างจากหมู่บ้านดอกะโลคู เมืองดีมอโซ ไปประมาณ 1 ไมล์ ประตูฟาร์มถูกเปิดทิ้งไว้ โดยไม่มีผู้ใดอยู่ภายในฟาร์มแม้แต่คนเดียว
เมื่อชาวบ้านเข้าไปดูภายในฟาร์ม ต้องพบกับภาพเอนจอนาถ เพราะหมูในฟาร์มจำนวนมากถูกทิ้งให้หิวโซ เนื่องจากไม่มีผู้นำอาหารมาป้อนให้หมูเหล่านั้นกินมาเป็นเวลาหลายวัน หมูหลายตัวนอนตายอยู่คาเล้า
ฟาร์มเลี้ยงหมู่แห่งนี้เป็นของบริษัท De Heus Myanmar จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ได้เข้ามาทำธุรกิจหมูครบวงจรในเมืองดีมอโซ ตั้งแต่เมื่อต้นปี 2562 โดยลงทุนเบื้องต้นเป็นเงิน 3.2 ล้านดอลลาร์ สร้างฟาร์ม โรงงานอาหารสัตว์ และโรงงานแปรรูปเนื้อหมู บนพื้นที่ 11 เอเคอร์ (28 ไร่) ในหมู่บ้านดอกะโลคู ถือเป็นฟาร์มเลี้ยงหมูที่ใหญ่ที่สุดของรัฐกะยา
ตามปกติ มีหมูถูกเลี้ยงอยู่ในฟาร์มแห่งนี้ประมาณ 1 พันตัว และมีคนงานอยู่ประมาณ 100 คน ชาวบ้านเชื่อว่าหลังเกิดการสู้รบขึ้นในเมืองดีมอโซ ทั้งผู้บริหารและคนงานต่างเกรงกลัวอันตราย จึงพากันทิ้งฟาร์มและโรงงาน หนีออกนอกพื้นที่กันหมด ปล่อยหมูที่เลี้ยงเอาไว้ให้อยู่ตารยถากรรม
De Heus เป็นบริษัทอุตสาหกรรมการเกษตรเก่าแก่จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ก่อตั้งเมื่อปี 2454 ปัจจุบัน โรงงานอาหารสัตว์ของ De Heus มีการกระจายอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก โดยในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ De Heus เริ่มเข้าไปลงทุนสร้างโรงงานในเวียดนามตั้งแต่ปี 2554 โดยปัจจุบันมีโรงงานของ De Heus ในเวียดนามแล้ว 6 แห่ง
De Heus ได้เข้ามาลงทุนในพม้าเมื่อปี 2559 โดยสร้างโรงงานอาหารสัตว์แห่งแรกในภาคย่างกุ้ง และขยายไปสร้างโรงงานที่ 2 ในมัณฑะเลย์ในปี 2561 ก่อนจะมาลงทุนทำธุรกิจหมูครบวงจรในรัฐกะยาในปี 2562.