เอเอฟพี - ชาวมุสลิมโรฮิงญาถูกห้ามมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงของพม่า คำตัดสินที่ถูกกลุ่มสิทธิมนุษยชนตำหนิประณามว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ และเป็นสิ่งที่แสดงถึง “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ที่เกิดกับชนกลุ่มน้อยกลุ่มนี้
ปฏิบัติการของทหารในปี 2560 ได้ขับไล่ชาวโรฮิงญากว่า 750,000 คน ออกจากประเทศ ที่ต้องอพยพหลบหนีไปอาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศ และนำมาซึ่งการฟ้องร้องในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ศาลสูงของสหประชาชาติ
พม่าปฏิเสธข้อกล่าวหา และอธิบายว่าปฏิบัติการของทหารเป็นวิธีการที่จะกำจัดผู้ก่อการร้าย
ยังมีชาวโรฮิงญาอีกราว 600,000 คน อยู่ในพม่า แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกพิจารณาว่าเป็นพลเมืองของประเทศ และจะไม่มีสิทธิลงคะแนนเสียง ซึ่งองค์การนิรโทษกรรมสากลอธิบายว่าเป็นลักษณะของ “การแบ่งแยกชนชาติ”
3 พรรคการเมืองที่มีชาวโรฮิงญาเป็นแกนนำต่างหวังที่จะส่งผู้แทนลงสมัครรับเลือกตั้งอย่างน้อย 12 คน ในการเลือกตั้งเดือน พ.ย. นี้ ตามการระบุขององค์กร Fortify Rights
แต่อับดุล ราชีด อายุ 58 ปี สมาชิกพรรคประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน กล่าวกับเอเอฟพี ว่า การสมัครของเขาถูกปฏิเสธโดยคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตในเมืองสิตตะเว เมืองเอกของรัฐยะไข่
ราชีด กล่าวว่า ทางคณะกรรมการให้เหตุผลว่าเป็นเพราะพ่อแม่ของเขาไม่ได้เป็นพลเมืองพม่าเมื่อตอนที่เขาเกิด แม้เขาจะมีหลักฐานว่าพ่อแม่และปู่ย่าตายายของเขาได้รับสถานะพลเมืองในปี 2500 ก่อนเขาเกิด 4 ปีแล้วก็ตาม
“สิ่งนี้ไม่สอดคล้องต่อกฎหมาย โรฮิงญากำลังถูกลดระดับ ทำให้เราไม่สามารถแข่งขันได้” ราชีด กล่าว และว่าเขาจะอุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าว
ส่วนคณะกรรมการการเลือกตั้งเมืองสิตตะเวไม่ได้แสดงความเห็นในเรื่องนี้
ความเป็นพลเมืองและสิทธิต่างๆ ของชนกลุ่มน้อยมุสลิมถูกลดทอนลงเรื่อยๆ ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา
ราชีด ที่กล่าวว่าพ่อของเขาทำงานเป็นข้าราชการในรัฐบาลพม่ามานานกว่า 30 ปี พยายามที่จะมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งมาตั้งแต่ปี 2558 แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
“การปฏิเสธนี้เป็นการเลือกปฏิบัติและเกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮิงญาที่ยังดำเนินอยู่ รัฐบาลพม่าต้องยุติการตัดสิทธิการเลือกตั้งของชาวโรฮิงญา” แมทธิว สมิท จาก Fortify Rights กล่าว.