รอยเตอร์ - สเวดวอทช์ (Swedwatch) องค์กรวิจัยในสวีเดนระบุว่า บริษัท แค็ตเตอร์พิลล่า (Caterpillar Inc) บริษัทโคมัตสุ (Komatsu Ltd) และบริษัทวอลโว่ (Volvo AB) ผู้ให้บริการเครื่องจักรชั้นนำที่เหมืองหยกของพม่า ได้ดำเนินการเพียงเล็กน้อยในการแก้ไขตามคำเตือนเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่พวกเขาจัดส่งเครื่องจักรให้
สเวดวอทช์ ที่มีสำนักงานอยู่ในกรุงสตอกโฮล์มซึ่งมุ่งเน้นที่กิจกรรมทางธุรกิจในประเทศกำลังพัฒนา ระบุว่า ทั้ง 3 บริษัทยังคงครองตลาดเครื่องจักรในเมืองผากัน (Hpakant) เมืองเหมืองแร่ในรัฐกะฉิ่น (Kachin) ที่หยกร้อยละ 90 ของโลกมาจากเมืองนี้
เหมืองหยกที่มีการกำกับควบคุมหย่อนยานของพม่าเป็นแหล่งทุนในความขัดแย้งระหว่างกองทัพและกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์มาเป็นเวลายาวนาน และรายงานระบุว่าอุตสาหกรรมเหมืองแห่งนี้ มีส่วนทำให้ดินเสื่อมโทรม เกิดมลพิษทางน้ำ และดินถล่ม ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคนในแต่ละปี
“ดูเหมือนว่าบริษัทเครื่องจักรทำเหมืองแร่ระดับโลกจะขาดมาตรการป้องกันตอบสนองต่อบริบทนี้ที่เป็นเรื่องเร่งด่วนร้ายแรง” สเวดวอทช์ ระบุในรายงาน
รายงานยังระบุว่า บริษัทแค็ตเตอร์พิลล่า ผู้ผลิตเครื่องจักรกลสัญชาติสหรัฐฯ และบริษัทโคมัตสุของญี่ปุ่น ไม่พยายามระบุผลกระทบทางลบด้านสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ของพวกเขาในพม่า
บริษัทวอลโว่ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาด้านสิทธิมนุษยชนดำเนินการตรวจสอบวิเคราะห์หลังองค์กรออกรายงานเบื้องต้นในปี 2561 โดยบริษัทสัญชาติสวีเดนรายนี้ระบุว่า การสอบสวนไม่พบว่าบริษัทมีส่วนรับผิดชอบใดๆ
“ในฐานะผู้ให้บริการเครื่องจักร เราไม่เชื่อว่าเรามีส่วนรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน ด้วยผลิตภัณฑ์ของเราไม่มีส่วนรับผิดชอบโดยตรงต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น สิ่งนี้ได้รับการยืนยันอยู่ในงานของเราที่ร่วมกับองค์กรผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชน” โฆษกบริษัทวอลโว่กล่าวกับรอยเตอร์
ด้านโฆษกของแค็ตเตอร์พิลล่าปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นถึงสถานการณ์ในพม่า และอ้างถ้อยแถลงบนเว็บไซต์ของบริษัทเกี่ยวกับความมุ่งมั่นในมาตรฐานสากลด้านสิทธิมนุษยชน
สำหรับบริษัทโคมัตสุแม้ไม่ตอบสนองต่อคำร้องขอความเห็น แต่จากการสอบถามเกี่ยวกับคำเตือนขององค์กรเมื่อ 2 ปีก่อน โคมัตสุ ระบุว่า บริษัทจะไม่ขายผลิตภัณฑ์ให้แก่บริษัทที่พบว่ารับผิดชอบต่อการกระทำที่ส่งผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งบริษัทไม่ได้รับรายงานเช่นนั้นจากพม่า
การผลิตหยกของพม่ามีมูลค่าราว 31,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2557 ตามการระบุขององค์กรด้านสิทธิมนุษยชนโกลบอลวิทเนส
ภารกิจค้นหาข้อเท็จจริงของสหประชาชาติเมื่อปีก่อน ระบุว่า การเกี่ยวข้องของทหารในเหมืองหยกและทับทิมนั้น ทั้งได้ประโยชน์และมีส่วนโดยตรงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในรัฐกะฉิ่น และยังเตือนถึงผลกระทบทางจริยธรรมของการทำธุรกิจที่พื้นที่
ผู้เขียนรายงานของสเวดวอทช์กล่าวว่า บริษัทแค็ตเตอร์พิลล่าอยู่ในจุดที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ หากแค็ตเตอร์พิลล่าใช้เวลารับฟังคำให้การและวิเคราะห์สิ่งที่ค้นพบ บริษัทจะสามารถเปลี่ยนได้ทั้งภาคส่วนและเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนหลายพันครอบครัว.