รอยเตอร์ - เวียดนามออกกฎหมายฉบับใหม่มีผลบังคับใช้วันนี้ (15) ว่าด้วยการกำหนดโทษปรับเงินกับการเผยแพร่ข่าวปลอม หรือข่าวลือบนสื่อสังคมออนไลน์ ท่ามกลางการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของความคิดเห็นบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในประเทศ
เวียดนามพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายแรกเมื่อเดือน ม.ค. และกระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า ยอดสะสมผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสในประเทศอยู่ที่ 267 คน และยังไม่มีผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสนี้ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนับว่าต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้ลงโทษปรับเงินประชาชนไปแล้วหลายร้อยคนจากการโพสต์สิ่งที่ถูกระบุว่าเป็น ‘ข่าวปลอม’ (Fake News) เกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 โดยยึดตามบทบัญญัติทางกฎหมายที่มีอยู่เดิม แต่กฎหมายใหม่ที่ร่างขึ้นเมื่อเดือน ก.พ. จะนำมาใช้แทนฉบับเดิมที่บังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งไม่ครอบคลุม ‘ข่าวปลอม’
บทลงโทษปรับเงิน จำนวน 10-20 ล้านด่ง (ประมาณ 13,800-27,700 บาท) เทียบเท่ากับเงินเดือนพื้นฐานราว 3-6 เดือนในเวียดนาม กำหนดใช้กับผู้ที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์แชร์ข้อมูลที่เป็นเท็จ ไม่ถูกต้อง บิดเบือนผิดเพี้ยน หรือหมิ่นประมาท
กฎระเบียบใหม่นี้ไม่ได้ถูกร่างขึ้นมาเพื่อจัดการกับความเห็นบนสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นการเฉพาะ แต่ยังขยายครอบคลุมไปไกลกว่าหัวข้อดังกล่าว ซึ่งความเคลื่อนไหวนี้ยิ่งเพิ่มความวิตกให้แก่กลุ่มสิทธิมนุษยชนมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่กังวลเรื่องกฎหมายความมั่นคงไซเบอร์ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปีก่อน
บทลงโทษนี้ยังสามารถกำหนดใช้ได้กับทุกคนที่แชร์สิ่งพิมพ์ที่ถูกห้ามหมุนเวียนในเวียดนาม ความลับของรัฐ หรือแผนที่ที่ไม่แสดงการอ้างสิทธิของเวียดนามในทะเลจีนใต้
“กฎหมายนี้เป็นอีกหนึ่งอาวุธอันทรงพลังในคลังแสงของเจ้าหน้าที่เวียดนามในการปราบปรามโลกออนไลน์ มันประกอบด้วยชุดบทบัญญัติที่ละเมิดพันธะสิทธิมนุษชนระหว่างประเทศของเวียดนามอย่างชัดเจน” ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีขององค์การนิรโทษกรรมสากล กล่าว
นอกจากบทลงโทษแล้ว เจ้าหน้าที่ได้เริ่มติดป้ายโปสเตอร์รณรงค์ที่มีสโลแกนว่า “ข่าวปลอม แต่ผลที่ตามมานั้นของจริง” ที่เป็นส่วนหนึ่งในการปราบปรามข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
เมื่อเดือนที่ผ่านมา มีหญิงคนหนึ่งใน จ.ห่าติ๋ง ทางตอนเหนือของประเทศ ถูกปรับเนื่องจากโพสต์เฟซบุ๊ก ในสิ่งที่เธอกล่าวอย่างไม่ถูกต้องว่าไวรัสโควิด-19 ได้แพร่กระจายมายังชุมชนท้องถิ่นของเธอ ซึ่งโพสต์ดังกล่าวมีคนเข้ามากดไลก์จำนวนหนึ่งก่อนที่ตำรวจจะเข้าดำเนินการ.