รอยเตอร์ - การนำเข้าถ่านหินและน้ำมันดิบของเวียดนามเพิ่มสูงขึ้นมากในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2562 ตามข้อมูลของรัฐบาลที่เผยแพร่วันนี้ (12) ซึ่งเน้นย้ำให้เห็นว่า ชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้พึ่งพาพลังงานนำเข้ามากขึ้นเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วของประเทศ
เวียดนามมีเศรษฐกิจที่เติบโตรวดเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคเอเชีย เป็นผลจากการส่งออกที่แข็งแกร่ง และการลงทุนจากต่างชาติ การเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้คาดว่าจะเกินกว่าเป้าที่รัฐบาลตั้งไว้ระหว่าง 6.6-6.8% เนื่องจากประเทศได้อานิสงส์จากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ
การเติบโตที่แข็งแกร่งส่งผลให้ความต้องการถ่านหินเพิ่มมากขึ้น โดยการนำเข้าส่วนใหญ่มาจากออสเตรเลียและอินโดนีเซีย และการนำเข้าในระหว่างเดือน ม.ค. ถึงเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ที่ 36.8 ล้านตัน มูลค่า 3,250 ล้านดอลลาร์ ตามคำแถลงของกรมศุลกากร
ถ่านหินนำเข้าส่วนใหญ่จะถูกนำไปใช้ในโรงไฟฟ้าถ่านหินของประเทศ ที่ยังคงมีบทบาทสำคัญในการผลิตพลังงานไปอีกหลายปี แม้ว่าทางการเวียดนามจะส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนก็ตาม
ส่วนการนำเข้าน้ำมันดิบของประเทศก็พุ่งขึ้นถึง 80.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่จำนวน 6.8 ล้านตันระหว่างช่วงเวลาเดียวกัน
รายงานระบุว่า ผลผลิตน้ำมันดิบของประเทศเริ่มลดลงเมื่อไม่นานนี้ ด้วยเป็นผลจากปริมาณสำรองตามแหล่งต่างๆ ที่มีอยู่ของประเทศลดลง รวมถึงการรุกรานเพิ่มขึ้นของจีนในภูมิภาคที่ขัดขวางการสำรวจแหล่งน้ำมันนอกชายฝั่ง
ข้อมูลของรัฐบาลเผยให้เห็นว่า การผลิตน้ำมันดิบในช่วง 10 เดือนแรกของปีลดลง 7.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 9.3 ล้านตัน ขณะที่ผลผลิตถ่านหินเพิ่มขึ้น 10.5% ที่จำนวน 37.9 ล้านตัน
กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าระบุในเดือน ก.ค.ว่า เวียดนามจะเผชิญต่อภาวะขาดแคลนพลังงานอย่างรุนแรงตั้งแต่ปี 2564 เนื่องจากความต้องการพลังงานมีสูงกว่าการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ และคาดว่าความต้องการพลังงานไฟฟ้าจะเกินกว่าพลังงานที่ผลิตได้ที่ 6,600 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงในปี 2564 และ 15,000 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงในปี 2566
กระทรวงระบุว่า เวียดนามจะต้องการงบประมาณเฉลี่ย 6,700 ล้านดอลลาร์ต่อปีเพื่อขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าต่อปีที่ 10% ระหว่างปี 2559-2573
ข้อมูลของกรมศุลกากรยังเผยให้เห็นว่า เวียดนามเกินดุลการค้า 9,010 ล้านดอลลาร์ ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ ขยายตัวจากยอดเกินดุลการค้าของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 7,240 ล้านดอลลาร์.