MGR ออนไลน์ -- วิดีโองานเลี้ยงฉลองวิวาห์ของชายหนุ่มรักร่วมเพศเดียวกันคู่หนึ่ง กำลังได้รับความสนใจจากชาวเวียดนามออนไลน์หลายหมื่อนคนในช่วงข้ามวันมานี้ เป็นงานเลี้ยงที่จัดขึ้นท่ามกลางแขกเหรื่อนับร้อยคน ภายในร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในใจกลาง ของศูนย์การค้าก๊าตบิพลาซ่า (Cát Bi Plaza) นครหายฝ่อง ซึ่งว่ากันว่าเป็นการแต่งงานของเกย์คู่แรก ในนครใหญ่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหรือของเวียดนามแห่งนี้
ต่างไปจากงานแต่งของคู่เกย์อื่นๆ ที่เคยตกเป็นข่าวในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา งานเลี้ยงฉลองวิวาห์ของก๊วกแข็ง (Quốc Khánh) กับแถ่งเหล่ย (Thành Lợi) ตอนค่ำวันที่ 7 พ.ค. ทำให้เกิดข้อถกเถียงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เกี่ยวกับสังคมของชาวคอมมิวนิสต์ที่เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อวิวาห์ระหว่างเพศเดียวโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างชายกับชาย เริ่มมีมากขึ้น โดยมีการจัดงานเลี้ยงคล้ายกันนี้ อย่างออกหน้าออกตา -- นักวิชาการหลายคนแสดงความวิตกว่า แนวโน้มนี้จะทำให้ค่านิยมทางสังคมของชาวเวียดนามถูกบิดเบนไป
"หลังจากใช้เวลาศึกษาใคร่ครวญ เรียนรู้เกี่ยวกับความรักกันและกันมานาน ทั้งคู่ได้เข้าพิธีแต่งงาน นับเป็นวิวาห์ครั้งแรกของคู่รักร่วมเพศในนครหายฝ่อง" หนังสือพิมพ์ออนไลน์ เหงือยเดือติน รายงาน
วิวาห์ของชายหนุ่มทั้งสอง จัดขึ้นครบถ้วนทุกกระบวนการ ตามแบบประเพณีนิยมทั่วไป ก่อนนำมาสู่การเลี้ยงฉลองในคลิป เช่นเดียวกับงานแต่งงานของคู่บ่าวสาวทั่วไป โดยมีเพือนมิตรของครอบครัวทั้งสองฝ่าย กับเพื่อนร่วมงาน เข้าร่วมเพื่อเป็นสักขีพยาน และยังมีบรรดาผู้ที่สนใจงานนี้่ เข้าสังเกตการณ์เป็นจำนวนมาก เพราะถือเป็นเหตุการณ์พิเศษสำหรับผู้คน ในนครอัน เป็นที่ตั้งของท่าเรือพาณิชย์เก่าแก่ของประเทศ
ก๊วกแข็งผู้เป็นเจ้าบ่าวให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้่ว่า "เรายอมรับที่จะต้องสูญเสียอะไรบางอย่างในชีวิต -- เมื่อกินอาหาร เรากินเพื่อให้มีชีวิตอยู่ ให้สามารถทำงานได้ รวมทั้งการหาความสุขสำหรับชีวิตด้วย เมื่อมองไปรอบกาย มองสู่สังคมที่กว้างไกล ที่ผู้คนจำนวนมากไม่มีข้าวกิน ไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ มองไปยังคนที่ด้อยโอกาสเหล่านั้น แล้วย้อนกลับมามองดูตัวเอง ผมก็ไม่ได้ต่างกัน เป็นเหมือนกับทุกคนในสังคม มีทั้งข้อดีและข้อด้อย.."
.
.
"เพราะฉะนั้นจะต้องไปแคร์คนอื่นทำไม ในการที่จะเลือกดำเนินชีวิตของตัวเอง? ใครจะพูดอะไรก็พูดไป แต่มีใครแคร์ผมบ้าง? ผมคิดง่ายๆว่า ไม่มีใครจ่ายให้ผม เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ ผมคิดแต่เพียงว่าทำอย่างไรจะมีชีวิตที่มีความสุข มีครอบครัวที่อบอุ่น และ สามารถช่วยเหลือครอบครัว กับญาติพี่น้อง ช่วยเหลือคนที่เรารักได้ ก็เพียงพอแล้ว"
"เราต้องเชื่อมั่นและมีความหวัง วันหนึ่งเราจะพบความสุขได้" เจ้าบ่าวกล่าว
วิวาห์ของก๊วกแข็งกับแถ่งเหล่ย จะไม่แปลกอะไร และ ไม่ต่างอะไรกับวิวาห์ระหว่างชายกับชายอีก 2 คู่ ทึ่ตกเป็นข่าวผ่านสื่อต่างๆ ตั้งแต่ต้นปีมานี้ -- ถ้าหากไม่มีมารดาของคนทั้งสอง ยืนอยู่เคียงข้างลูกชายบนเวที และ มารดาของ "เจ้าสาว" เช็ดน้ำตาที่นองใบหน้าหลายครั้ง ซึ่งยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจในความรู้สึก -- ยินดีปรีดา หรือเสียใจ? ที่ลูกชายเข้าพิธีแต่งงานเป็นเจ้าสาว และได้นำมาสู่การถกเถียง
ชาวเวียดนามออนไลน์ส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่า เรื่องแบบนี้จะเป็นความคาดหวังของคนที่เป็นแม่ ที่ร้อยทั้งร้อยหวังโดยธรรมชาติที่จะได้เห็นลูกสะใภ้ และ ได้เลี้ยงดูหลานน้อยในวันข้างหน้า ไม่มีทางที่จะหวังให้ลูกชายไปเป็นสะใภ้ของใครเสียเอง -- แต่ในที่สุด แม่ก็เป็นคนที่รักลูกมากที่สุด และ เป็นคนแรกที่จะออกไปยืนเคียงข้างลูก ในหนทางที่ลูกได้เลือกแล้ว
นอกจากนั้นการที่บิดาของทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ไม่ได้ปรากฏตัวในงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย ก็ยิ่งทำให้เกิดการคาดเดาต่างๆ นานา ตั้งแต่ประเด็นที่ว่า บิดาของชายหนุ่มทั้งสองอาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว จนถึงความเป็นไปได้ที่ว่าฝ่ายบิดาได้ตัดขาดลูกชาย เพราะความอับอาย ไม่ยอมรับเรื่องแบบนี้
.
ต่างไปจากงานวิวาห์ระหว่างชายกับชายอีก 2 งาน ในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ใน จ.โด่งท้าป (Đồng Tháp) เขตที่ราบปากแม่น้ำโขง กับอีกงานหนึ่งในนครโฮจิมินห์ ที่จัดขึ้นในช่วงปลายเดือน -- ในงานแต่งทั้งสองเหตุการณ์ มีบิดากับมารดาของทั้งสองฝ่ายเข้าร่วมงานเลี้ยงเลี้ยงฉลองอย่างพร้อมหน้ากัน และ ด้วยความปลาบปลื้ม (โปรดดูวิดีโอคลิป 2 ชิ้นข้างล่าง ซึ่งแสดงบรรยากาศงานแต่งงานใน จ.โด่งท้าป กับนครโฮจิมินห์ตามลำดับ)
ในเวียดนามไม่มีกฎหมายรับรองการแปลงเพศ หรือ กฎหมายการใดๆ รองรับการเป็นคู่ครองระหว่างคนเพศเดียวกัน เมื่อสักสิบปีที่แล้วทางการคอมมิวนิสต์ได้พยายามออกตัว แสดงให้คนในสังคมได้เห็นว่ารัฐบาลไม่ยอมรับเรื่องแบบนี้ แต่ก็ไม่เคยห้ามปรามงานวิวาห์ใดๆ ที่ผ่านมา ทั้งระหว่างหญิงกับหญิง และ ชายกับชายด้วยกัน แต่พรรคคอมมิวนิสต์ไม่เคยรับชาวรักร่วมเพศเข้าเป็นสมาชิกพรรค เนื่องจากขัดต่อธรรมนูญพรรคที่ระบุคุณสมบัติข้อหนึ่งเอาไว้ชัดเจนว่า จะต้องเป็นชายจริงหญิงแท้เท่านั้น
หมายความว่า ชาวรักร่วมเพศในเวียดนามไม่มีสิทธิ์ที่จะเติบโตในวงราชการ เนื่องจากไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์นั่นเอง
.
.
ครอบครัวชาวเวียดนามทั่วประเทศ ยังคงยึดถือจารีตประเพณีอย่างเคร่งครัด และ ไม่สนับสนุนลูกหลานในเรื่องรักร่วมเพศ และ ถึงแม้ว่าชาวรักร่วมเพศทั้งหญิงและชายจะเป็นคนกลุ่มเล็กมาก เมื่อเทียบกับประชาการเกือบ 90 ล้าน แต่นักจารีตนิยมมองว่า กระแสที่กำลังพัฒนาอยู่ในสังคม จะส่งผลถึงลูกหลานในอนาคต หลายคนยังมองว่าเรื่องนี้เป็นปรากฏการณ์ และ เป็นผลกระทบโดยตรงจากการรับเอาวัฒนธรรมตะวันตก เข้าไปพร้อมๆ กับการปฏิรูปเศรษฐกิจในช่วง 20 ปีมานี้่
ต่างไปจากประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนรอบข้าง ทางการคอมมิวนิสต์เวียดนามกลับเปิดกว้างเรื่องการรักร่วมเพศมากกว่า และมีการแต่งงานระหว่างชายกับชายมากที่สุด แม้จะไม่มีกฎหมายใดกำหนดไว้อย่างชัดเจน รัฐบาลกับพรรคคอมมิวนิสต์ยังไม่เคยห้ามปรามขัดขวาง กระบวนการรณรงค์เพื่อสิทธิ์ของชาวรักร่วมเพศ ขององค์การเอกชนต่างๆ ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ทั้งในกรุงฮานอย และ นครโฮจิมินห์
ในขณะเดียวกัน เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวใน สปป.ลาว ที่ยังไม่มีกฎหมายใดๆ ห้ามปรามหรือยอมรับเช่นกัน เหตุเกิดขึ้นในปลายปี 2559 ที่เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก เป็นพิธีแต่งงานระหว่างชายหนุ่มชาวต่างชาติ กับ "เจ้าสาว" ที่เป็นหนุ่มชาวลาว แต่เมื่อมีการเผยแพร่ข่าวกับภาพเหตุการณ์ทางเฟซบุ๊ก ก็ได้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากชาวลาวทั่วไปในทันที และ ยังไม่มีข่าวคราววิวาห์ระหว่างชายกับชายในประเทศนี้เลย ตั้งแต่นั้น
แต่ในกัมพูชาจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด -- เมื่อต้นเดือน ก.พ. ตำรวจได้เข้าขัดขวางงานแต่ง ระหว่างชายชาวต่างชาติคนหนึ่งกับหนุ่มชาวเขมร ที่ อ.วาริน จ.กระแจ๊ (Kratie) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ เจ้าหน้าที่ชี้แจงให้ทุกฝ่ายได้ทราบว่า ไม่มีกฎหมายอนุญาติให้คนเพศเดียวกันแต่งงานกันได้ในประเทศนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างชายชาวต่างชาติกับชายชาวเขมรนั้นไม่สามารถกระทำได้ ทางการจึงได้ขอให้การแต่งงานต้องยุติลง.