รอยเตอร์ - ความขัดแย้งระหว่างกองทัพพม่า และกลุ่มติดอาวุธของกองทัพกะฉิ่นอิสระ (KIA) ในภาคเหนือของประเทศ ทวีความรุนแรงขึ้นตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค. ในเขตพื้นที่ของเมืองซูนปะยาบูน วายมอ และตะนาย ตามรายงานด้านมนุษยธรรมของสหประชาชาติ
“สหประชาชาติ และหน่วยงานด้านมนุษยธรรมมีความวิตกเกี่ยวกับความปลอดภัยของพลเรือนในพื้นที่เหล่านี้ พื้นที่เมืองตะนาย มีการสู้รบหนักตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค.2561 และมีรายงานว่า มีพลเรือนถูกฆ่า และได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก” รายงานระบุ
KIA เป็นหนึ่งในกลุ่มกองกำลังที่ทรงอิทธิพลที่สุดของพม่า และมักปะทะกับทหารพม่าอยู่เป็นประจำตั้งแต่ปี 2554 เมื่อข้อตกลงหยุดยิงยุติลง
รายงานของสหประชาชาติ ระบุว่า หน่วยงานช่วยเหลือบรรเทาทุกข์รายงานว่า มีประชาชนราว 1,800 คน ที่ส่วนใหญ่เป็นแรงงาน ต้องอพยพออกจากพื้นที่เมืองตะนาย เนื่องจากการต่อสู้ครั้งล่าสุด แต่ขณะเดียวกัน ยังมีพลเรือนอีกจำนวนหนึ่งอยู่ในพื้นที่ขัดแย้ง และไม่สามารถเคลื่อนย้ายออกไปได้
แต่เจ้าหน้าที่สหประชาชาติยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่ และไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้
ในเมืองซูนปะยาบูน มีประชาชนมากกว่า 700 คน ต้องอาศัยหลบภัยในป่าตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค. และอีกราว 500 คน จากค่ายพลัดถิ่นภายในประเทศที่หลบหนีหลังมีระเบิดตกใกล้ค่ายพัก
เมืองตะนาย และเมืองซูนปะยาบูน ตั้งอยู่บนถนนสายใหญ่ 2 สาย ที่เป็นเส้นทางมุ่งขึ้นเหนือจากเมืองมิตจีนา เมืองเอกของรัฐกะฉิ่น ซึ่งอยู่ตอนเหนือสุดของพม่าระหว่างจีน และอินเดีย
เหตุปะทะที่เริ่มมาตั้งแต่กลางเดือน ธ.ค. และล่าสุด ในวันที่ 27 ม.ค. พบว่า มีระเบิดตกใกล้กับค่ายผู้พลัดถิ่นในเมืองวายมอ ที่อยู่ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำอิรวดี กับเมืองมิตจีนา ตามการระบุของรายงาน
ยางฮี ลี ผู้สืบสวนสิทธิมนุษยชนพม่าของสหประชาชาติ ถูกห้ามเดินทางเข้าไปในพื้นที่ชาวโรฮิงญา รวมทั้งรัฐกะฉิ่น และรัฐชาน โดยลี ได้กล่าวต่อรอยเตอร์ ว่า รัฐบาลพลเรือนไม่มีอำนาจในรัฐกะฉิ่น นับตั้งแต่ทุกเรื่องเกี่ยวข้องต่อประเด็นด้านความมั่นคงซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้บัญชาการทหาร.