เอเอฟพี - โรงงานซาลาม (Gia Lam) โรงงานที่มีประวัติยาวนานในกรุงฮานอย ที่ฝรั่งเศสสร้างขึ้น เพื่อใช้เป็นสถานที่ซ่อมบำรุงรถไฟในสมัยอาณานิคม ต่อมา ถูกใช้เป็นสถานที่ผลิตอาวุธเพื่อต่อสู้เรียกร้องอิสรภาพของกลุ่มปฏิวัติ และยังรอดพ้นจากการโจมตีของเครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐฯ ในสมัยสงคราม
แต่เรื่องราวของโรงงานแห่งนี้กำลังค่อยๆ เลือนหาย เมื่อชนชั้นกลางของประเทศในฐานะผู้โดยสารที่มีอำนาจในการจับจ่ายมากขึ้น เริ่มหันหลังให้รถไฟไปใช้บริการการเดินทางด้วยเครื่องบิน
“ในอดีต ผมรู้สึกภูมิใจที่ทำงานที่นี่เพราะมันเป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดในอินโดจีน” ช่างซ่อมชาวเวียดนามรายหนึ่ง กล่าว
โรงงานซาลาม เปิดตัวในปี 2448 เป็นโรงงานรถไฟแห่งแรกในเขตอาณานิคมของฝรั่งเศสในขณะนั้น ที่ครอบคลุมพื้นที่ประเทศเวียดนาม กัมพูชา และลาว เป็นฐานสำหรับซ่อมแซม และประกอบเครื่องยนต์และขบวนรถ รองรับอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาค
ต่อมา โรงงานถูกชาวเวียดนามเข้ายึดครองในช่วงทศวรรษ 1940 และใช้เป็นสถานที่ผลิตปืนบาซูก้า และระเบิดเพื่อใช้ต่อสู้กับเจ้าอาณานิคมที่สุดท้ายล่าถอยในปี 2497 จากนั้นโรงงานแห่งนี้ยังคงใช้ผลิตอาวุธในช่วงสงครามเวียดนาม แม้จะถูกระเบิดจากเครื่องบินสหรัฐฯ ที่มุ่งเป้าโจมตีนักปฏิวัติในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศ
ในปัจจุบัน โรงงานถูกใช้เป็นพื้นที่ซ่อมแซมรถไฟเก่า แม้ความต้องการจะลดน้อยถอยลงก็ตาม อุตสาหกรรมรถไฟของประเทศกำลังดิ้นรนต่อสู้ที่จะรักษาสถานภาพท่ามกลางการแข่งขันของการเดินทางทางอากาศ เพราะสำหรับหลายคนแล้ว ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเลือกระหว่างรถไฟที่เคลื่อนที่ไปอย่างเชื่องช้า และคดเคี้ยว กับเครื่องบินที่รวดเร็ว และราคาถูก
ในปี 2558 ชาวเวียดนามเดินทางด้วยเครื่องบินกว่า 31 ล้านคน มากกว่าตัวเลขในปี 2553 ถึง 2 เท่า ตามสถิติของทางการ ขณะที่รถไฟมีผู้ใช้งานคงที่ที่ 11 ล้านคน
ทุกวันนี้บางบริษัทกำลังหาทางที่จะฟื้นการเดินทางด้วยรถไฟในยุคอาณานิคม ด้วยการให้บริการในระดับเฟิร์สคลาส ตกแต่งตู้โดยสารด้วยไม้ และตู้เสบียงในแบบร้านอาหาร
“หากการเดินทางด้วยรถไฟไม่มีการพัฒนา เมื่อนั้นอุตสาหกรรมรถไฟจะไม่สามารถฟื้นตัวได้” เหวียน แอ็ง ต่วน หัวหน้าสภาพแรงงาน กล่าว
สมาชิกสภานิติบัญญัติส่วนหนึ่งได้เรียกร้องให้มีการลงทุนจากภาคเอกชนในภาคส่วนที่รัฐควบคุมอยู่ และสภาเพิ่งจะพิจารณาแก้ไขกฎหมาย แต่พนักงานของโรงงานซาลาม ต่างวิตกกันว่ารถไฟจะสูญสิ้นไป หากอุตสาหกรรมนี้ไม่มีการปรับตัวดีขึ้น.
.
.
.
.
.
.
.