พม่าร้องอาเซียนจัดประชุมฉุกเฉินหารือวิกฤตโรฮิงญา

เอเอฟพี - พม่าเรียกร้องให้มีการประชุมอาเซียนฉุกเฉิน เพื่อหารือเกี่ยวกับวิกฤตโรฮิงญา นักการทูตเผยวันนี้ (12) ขณะที่ความตึงเครียดในภูมิภาคขยายตัวมากขึ้นต่อการปราบปรามทางทหารต่อชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมของประเทศ

ชาวโรฮิงญามากกว่า 20,000 คน ได้หลบหนีการปราบปรามทางทหารในรัฐยะไข่ ข้ามฝั่งเข้าไปในบังกลาเทศในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา

เรื่องราวของชาวโรฮิงญาเกี่ยวกับการข่มขืน และสังหารโดยกองกำลังรักษาความมั่นคงได้ก่อให้เกิดการชุมนุมประท้วงในประเทศมุสลิมทั่วภูมิภาค ซึ่งพม่ากำลังเผชิญต่อแรงกดดันทางการทูตจากประเทศเพื่อนบ้าน

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัก ของมาเลเซีย ได้กล่าวตำหนินางอองซานซูจี ที่ปล่อยให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ต่อหน้าผู้ชุมนุมประท้วงที่โกรธแค้นหลายพันคนในกรุงกัวลาลัมเปอร์ และฝ่ายพม่าที่ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว ได้ตอบโต้ด้วยการเรียกทูตมาเลเซียเข้าพบและระงับการส่งแรงงานพม่าไปยังมาเลเซีย

แหล่งข่าวทางการทูตในฟิลิปปินส์ยืนยันว่า พม่าได้เชิญพวกเขาประชุมอาเซียนฉุกเฉินเพื่อหารือ “ปัญหาโรฮิงญา”

แต่แหล่งข่าวปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประชุม ที่หนังสือพิมพ์นิกเกอิของญี่ปุ่นรายงานว่า จะจัดขึ้นในนครย่างกุ้ง วันที่ 19 ธ.ค. และเจ้าหน้าที่พม่าก็ไม่สามารถติดต่อเพื่อขอความเห็นในเรื่องนี้ได้

เหตุนองเลือดครั้งนี้กลายเป็นความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดต่อซูจี นับตั้งแต่พรรคของซูจี ชนะการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยครั้งแรกของประเทศเมื่อปีที่ผ่านมา

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ปรึกษาพิเศษด้านพม่าของสหประชาชาติได้วิพากษ์วิจารณ์การจัดการวิกฤตของซูจี โดยระบุว่า สร้างความผิดหวังให้คนในประเทศ และต่างประเทศ

ซูจี ได้หารือเกี่ยวกับรัฐยะไข่กับรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของอินโดนีเซีย หลังยกเลิกการเยือนแดนอิเหนาเมื่อเดือน พ.ย. เนื่องจากมีการชุมนุมประท้วง และความพยายามโจมตีสถานทูตพม่า

หนังสือพิมพ์โกลบอลนิวไลท์ออฟเมียนมาร์ รายงานเมื่อวันเสาร์ (10) ว่า มีประชาชนเสียชีวิตเกือบ 100 คน (ทหาร 17 นาย และผู้ต้องสงสัย 76 คน) ในปฏิบัติการทางทหารในรัฐยะไข่ที่เกิดขึ้นหลังเหตุบุกโจมตีด่านชายแดนตำรวจเมื่อวันที่ 9 ต.ค. ซึ่งรวมทั้งผู้ต้องสงสัย 6 คน ที่เสียชีวิตระหว่างสอบสวนจาก 575 คน ที่ถูกควบคุมตัว

กลุ่มผลักดันประเด็นสาธารณะระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตอาจมีมากหลายร้อยคน แต่ผู้สื่อข่าวต่างชาติและผู้สืบสวนอิสระไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่เพื่อตรวจสอบตัวเลขได้

และด้วยวิกฤตที่ยังไม่มีสัญญาณว่าจะบรรเทาลง รัฐบาลได้ขยายระยะเวลาห้ามออกนอกบ้านในยามวิกาลตั้งแต่ 19.00-6.00 น. ทั่วทั้งพื้นที่ปิดล้อมไปอีก 2 เดือน.