xs
xsm
sm
md
lg

“โอบามา” บอก “ซูจี” สหรัฐฯ พร้อมยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร-คืนสิทธิงดเว้นภาษีนำเข้าให้พม่า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

<br><FONT color=#000033>ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ ขณะพูดคุยกับสื่อระหว่างหารือกับนางอองซานซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐของพม่า ที่ห้องทำงานรูปไข่ ในทำเนียบขาว กรุงวอชิงตัน ดี.ซี วันที่ 14 ก.ย. -- Reuters/Carlos Barria.</font></b>

รอยเตอร์ - นางอองซานซูจี ของพม่าร้องขอการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อพม่า ขณะที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวว่า สหรัฐฯ พร้อมที่จะดำเนินการดังกล่าว ในการพบกันครั้งแรกยังทำเนียบขาวนับตั้งแต่ซูจีกลายเป็นผู้นำประเทศ

“มันเป็นสิ่งถูกต้องที่จะต้องดำเนินการเพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนชาวพม่าเห็นผลตอบแทนจากวิธีการใหม่ของการดำเนินธุรกิจ และรัฐบาลใหม่” ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวต่อซูจีภายในห้องทำงานรูปไข่

การเยือนสหรัฐฯ ครั้งนี้ ซูจี มาในฐานะเช่นผู้นำประเทศ หลังจากพรรคของซูจีชนะการเลือกตั้งเมื่อปีก่อน และเนื่องจากซูจี ไม่ได้เป็นนักการเมืองฝ่ายค้านเช่นแต่ก่อน วอชิงตันกำลังพิจารณาที่จะคลายมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อพม่า ในขณะที่โอบามา ต้องการที่จะปรับความสัมพันธ์สู่ระดับปกติกับประเทศที่เคยปกครองโดยรัฐบาลเผด็จการทหารแห่งนี้

“เราคิดว่าถึงเวลาที่จะต้องยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทั้งหมดที่ทำร้ายเศรษฐกิจของเรา” อองซานซูจี กล่าว

นอกจากการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรแล้ว ทำเนียบขาวได้ออกคำแถลงฉบับหนึ่งระบุว่า จะคืนสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ให้แก่พม่า ที่เป็นการงดเว้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศยากจน และประเทศกำลังพัฒนา

หลังจากพม่าถูกถอนชื่อออกจากกลุ่มประเทศที่ได้รับสิทธิประโยชน์ GSP เมื่อปี 2532 อันเนื่องจากเหตุปราบปรามรุนแรงต่อการลุกฮือของผู้สนับสนุนเรียกร้องประชาธิปไตยโดยรัฐบาลเผด็จการทหารในช่วงปีก่อนหน้านั้น ซึ่งหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า พม่าจะกลับเข้าโครงการสิทธิพิเศษนี้อีกครั้งในวันที่ 13 พ.ย.

“การคืนสิทธิประโยชน์เหล่านี้ รวมทั้งการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร จะช่วยให้สหรัฐฯ ธุรกิจของเรา สถาบันที่ไม่แสวงหากำไรของเรา มีแรงจูงใจที่จะเข้าลงทุน และมีส่วนร่วมมากขึ้นในสิ่งที่เราหวังให้เป็นหุ้นส่วนที่เจริญรุ่งเรือง และเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นสำหรับเราในภูมิภาค” โอบามา กล่าว
.
<br><FONT color=#000033>อองซานซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ และรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของพม่า เยือนสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พรรค NLD ชนะการเลือกตั้งและเข้าทำหน้าที่บริหารประเทศ. -- Reuters/Carlos Barria.</font></b>
.
หลังจากเยือนทำเนียบขาวแล้ว ซูจี ยังได้พบหารือกับสมาชิกบางคนของสภาผู้แทนราษฎร ในกรุงวอชิงตัน แต่อย่างไรก็ตาม มีสมาชิกบางส่วนของสภาคองเกรสแสดงความรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในพม่า และรายงานด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศ พวกเขาได้เสนอร่างกฎหมายอย่างน้อย 2 ฉบับ ที่จะทำให้สมาชิกสภานิติบัญญัติมีอิทธิพลต่อกระบวนการการคลายมาตรการคว่ำบาตร

เอ็ด รอยซ์ ประธานคณะกรรมการกิจการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้แสดงความเห็นหลังหารือกับซูจี ว่า แม้ฝ่ายบริหารชุดใหม่จะนำความหวังมาสู่พม่า แต่เขาก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะพยายามปกป้องชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮิงญาที่ถูกกดขี่

ในส่วนของโอบามา ที่จะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรนั้น ผู้นำสหรัฐฯ จำเป็นที่จะต้องออกคำสั่งยุติการประกาศฉุกเฉินแห่งชาติต่อพม่าที่ออกครั้งแรกในปี 2540 ซึ่งสนับสนุนบทลงโทษต่างๆ และถอนคำสั่งมาตรการคว่ำบาตรที่เกี่ยวข้องต่อพม่าก่อนหน้านี้

เจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสรายหนึ่ง กล่าวว่า การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรจะไม่นำไปใช้กับความช่วยเหลือทางทหาร ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า ข้อจำกัดบางส่วนยังคงมีผลบังคับใช้ รวมทั้งการห้ามออกวีซ่าแก่ผู้นำทางทหาร

สหรัฐฯ ได้คลายมาตรการคว่ำบาตรบางส่วนกับพม่าในปีนี้ เพื่อสนับสนุนการปฏิรูปทางการเมือง แต่ยังคงข้อจำกัดส่วนใหญ่ด้วยมีเป้าหมายที่จะลงโทษผู้ที่ถูกมองว่าขัดขวางรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย

แต่การประกาศเกี่ยวกับการยกเลิกคว่ำบาตร ก่อให้เกิดเสียงประณามจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่กล่าวว่า ทำให้สหรัฐฯ เสียอิทธิพลต่อทหารพม่า

“การยกเลิกข้อจำกัดในการทำธุรกิจกับทหารของพม่า และกิจการของทหาร รวมทั้งพรรคพวกเพื่อนพ้องที่ร่ำรวยขึ้นจากการปกครองยาวนานหลายทศวรรษ ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง” จอห์น ซิฟตัน รองผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์วอช ในวอชิงตัน กล่าว

“ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ตกอยู่กับคนเหล่านี้ แค่เพียงไม่กี่คน และแน่นอนว่าไม่ใช่กับประชาชนชาวพม่าโดยทั่วไป.”
<br><FONT color=#000033>จอห์น เคร์รี่ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ต้อนรับนางอองซานซูจี  ที่เรือนรับรองแบลร์เฮาส์ ภายในทำเนียบขาว. -- Reuters/Jonathan Ernst.</font></b>
.

.
<br><FONT color=#000033>ชาวพม่าเข้าทักทายและสวมกอดนางอองซานซูจี ที่บริเวณด้านนอกอาคารซึ่งซูจีพบหารือกับจอห์น เคร์รี่. -- Reuters/Jonathan Ernst.</font></b>
.
กำลังโหลดความคิดเห็น