เอเอฟพี - การต่อสู้ครั้งใหม่ระหว่างกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ และทหารพม่า กำลังบดบังการประชุมสันติภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยรัฐบาลพลเรือนชุดใหม่ของอองซานซูจี ตามการเปิดเผยของผู้ที่เกี่ยวข้องในการหารือ
การรวมตัวเป็นเวลา 5 วัน ที่จะเปิดการประชุมอย่างเป็นทางการในวันพุธ (31) เป็นการขับเคลื่อนครั้งใหญ่ครั้งแรกของซูจี ที่หวังจะยุติความไม่สงบซึ่งลุกลามพื้นที่ชายแดนของประเทศนับตั้งแต่เป็นเอกราชในปี 2491
ผู้จัดงานกำลังผลักดันการหยุดยิงฝ่ายเดียวก่อนที่การหารือที่สหประชาชาติให้การสนับสนุนจะเกิดขึ้น แต่ความหวังเหล่านั้นกลับพังทลายด้วยการต่อสู้ที่ปะทุขึ้นครั้งใหม่ ผู้เจรจาจากทั้งฝ่ายกลุ่มกบฏ และรัฐบาล กล่าว
กลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่มไม่ยอมวางอาวุธของตน อันเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นที่ทหารเรียกร้องเพื่อเข้าร่วมการประชุม
กองกำลังทหารยังคงติดพันอยู่ในการต่อสู้กับกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ ก่อนนายบัน คี-มูน เลขาธิการสหประชาชาติ ที่จะเข้าร่วมการประชุมสันติภาพครั้งนี้ด้วยนั้นมีกำหนดแถลงข่าวในค่ำวันนี้ (30)
ผู้แทนจากกลุ่มติดอาวุธ กล่าวว่า ทหารได้เปิดฉากโจมตีครั้งใหม่ยังฐานของกลุ่มกบฏในรัฐชานและรัฐกะฉิ่น ทางภาคเหนือ ในเช้าวันอังคาร (30) ซึ่งความเคลื่อนไหวนี้บ่อนทำลายความคืบหน้าการเจรจาสันติภาพ
“สำหรับช่วงเวลานี้มันเป็นเรื่องยากลำบากต่อกลุ่มใดก็ตามที่เชื่อหรือไว้วางใจกองทัพ” หนึ่งในผู้เจรจาของกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ กล่าว
“ที่นี่ (ในกรุงเนปีดอ) พวกเขากำลังพูดคุยกันถึงสันติภาพ แต่ที่นั่น พวกเขากำลังต่อสู้กัน” ผู้เจรจา กล่าว
กลุ่มบกฏจากบางรัฐที่ถูกโจมตีหนักต้องการให้ทหารประกาศหยุดยิงฝ่ายเดียว และแต่งตั้งผู้แทนระหว่างประเทศเข้ากำกับดูแลการปฏิบัติในพื้นที่จริง
ประชาชนราว 220,000 คน ต้องย้ายที่อยู่เนื่องจากการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในรัฐกะฉิ่น และรัฐชาน และจากความตึงเครียดทางศาสนาในรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของประเทศ ตามการเปิดเผยตัวเลขของสหประชาชาติในสัปดาห์นี้
นับตั้งแต่เข้าบริหารประเทศเมื่อต้นปี รัฐบาลของอองซานซูจี ได้ผลักดันที่จะขยายข้อตกลงหยุดยิงที่ลงนามกันไว้ระหว่างรัฐบาลชุดก่อน และกลุ่มติดอาวุธ 8 กลุ่ม
แต่ภายใต้รัฐธรรมนูญยุครัฐบาลเผด็จการทหาร กองทัพยังคงควบคุมศูนย์กลางทางอำนาจที่สำคัญ ซึ่งประกอบด้วย กระทรวงกลาโหมและชายแดน
“รัฐบาลเผชิญกับแรงกดดันในการจัดการต่อทหารในกรณีนี้” หนึ่งในผู้เจรจาของรัฐบาลพลเรือน กล่าว
ซูจี หวังให้การเจรจาสันติภาพจะปูทางไปสู่ระบบสหพันธรัฐสำหรับพม่า ที่อาจให้กลุ่มชาติพันธุ์ที่ร้องเรียนถึงการถูกกดขี่ และถูกเพิกเฉยจากประชากรส่วนใหญ่ที่เป็นชาติพันธุ์พม่า มีสิทธิในการปกครองตัวเองเหนือรัฐบาล ที่ดิน และทรัพยากร.