MGRออนไลน์ -- ในช่วงเวลาข้ามสัปดาห์มานี้ ประชาคมคนชื่นชอบอาวุธสำหรับป้องกันประเทศ ได้ให้ความสนใจอย่างมาก ต่อภาพรถถังคันหนึ่ง ที่มีผู้นำขึ้นเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ข่าวกลาโหมในประเทศการ์ตา ซึ่งเมื่อดูจากสภาพแวดล้อมรอบข้าง หลายคนเชื่อว่า เป็นคันเดียวกับที่ถูกกลุ่มรัฐอิสลาม (ISIS) ยิงด้วยจราดคอร์เน็ต (Kornet) และ สื่อรัสเซียนำวิดิโอคลิปเหตุการณ์ดังกล่าว ไปเผยแพร่ในเวลาต่อมา นัยว่าเพื่ออวดประสิทธิภาพจรวด "มือพิฆาตรถถัง" ที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งของโลก
รถถังที่ตกเป็นเหยื่อจรวดรัสเซีย จอดนิ่งอยู่ทางตอนเหนือของอิรัก ในสภาพที่เสียหายไม่มาก และ ยังซ่อมใช้ได้อีก ผู้นำภาพออกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ กล่าวว่าทั้ง ผู้บังคับรถถัง พลขับ พลควบคุมและพลยิง ทั้ง 4 นายไม่มีใครได้รับอันตราย จากเหตุการณ์ในสัปดาห์กลางเดือนนี้
ผู้รู้หลายคนได้ช่วยกันยืนยัน ผ่านเว็บไซต์ว่า ที่เห็นในภาพคือรถถังซาบรา (Sabra) ของกองทัพบกตุรกี ซึ่งก็คือรถถังหลัก ที่ได้จากการอัปเกรดแบบสุดๆ (Deep Upgrade) จากรถถัง M60A1/A3 โดยกลุ่มอุตสาหกรรมทหาร IMI (Israel Military Industries) อิสราเอล และ ปัจจุบันมีประจำการเฉพาะในกองทัพอิสราเอล กับกองทัพตุรกีเท่านั้น
ทั้งเหตุการณ์ในคลิปและภาพล่าสุด ล้วนเกี่ยวข้องกับรถถัง M60 เรื่องนี้จึงกลายมาเป็นเรื่องใกล้ตัวทันที เพราะว่า ซีรีส์นี้เป็นรถถังหลัก (Main Battle Tank) รุ่นเดียวกับของกองทัพบกไทย ที่มีอยู่ราว 120 คัน หรือ หากนับรวมกับ M60A1 ที่เก่ากว่า ก็จะเป็นจำนวนประมาณ 170 คัน ซึ่งเป็นกำลังหลักตลอดกว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา
คลิปเหตุการณ์จากยูทิวบ์ ที่สถานีโทรทัศน์ และ สำนักข่าว RT (Russia Times) นำไปเผยแพร่ต่อนี้ ถ่ายทำโดยนักรบ ISIS (หรือ IS หรือ ISIL) เหตุเกิดในเขตเมืองโมซูล (Mosul) ประเทศอิรัก ซึ่งทหารตุรกีปฏิบัติการ อยู่ในย่านรอบนอกของเมืองนี้ มาตั้งแต่ต้นปี 2559 นี้ ร่วมกับฝ่ายพันธมิตรกวาดล้าง ISIS
คลิปแสดงให้เห็นรถถังโดนจรวด 9M113 "คอร์เน็ต" เข้าแบบจังๆ ที่บริเวณรอยต่อป้อมปืนกับตัวรถ อันเป็น "จุดตาย" หรือ จุดเปราะบางที่สุด ของรถถังหลักทั่วไปในปัจจุบัน และ RT รายงานว่า "จรวดได้ทำลายรถถังหลักของตุรกี.." แต่ยังไม่มีการนำเสนอข่าวใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้อีก หลังจากภาพนิ่งของรถถังคันเดียวกัน ถูกเผยแพร่ออกมา
.
.
คงจะไม่แปลกใจว่า เหตุใดจรวดรุ่นนี้จึงตกถึงมือกลุ่มรัฐอิสลาม ทั้งๆ ที่รัสเซียนั้นส่งทั้งทหารและอาวุธนานาชนิด เข้าไปช่วยรัฐบาลซีเรียปราบกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้อย่างจริงจัง และอย่างได้ผล แต่อาวุธที่ผลิตในรัสเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกจรวดยิงรถถัง ตกอยู่ในมือของแทบจะทุกฝ่าย โดยซื้อจากหลายแหล่งในตลาดโลก รถถังของกองทัพซีเรียเองที่ผลิตในรัสเซียแท้ๆ ก็ยังโดนยิงด้วยจรวดรัสเซียมามากต่อมาก
คลิปชิ้นนี้แสดงให้เห็น กองโจร ISIS ยิงจรวด (อาวุธปล่อย) นำวิถีออกไป จรวดพุ่งไปข้างหน้า ในวินาทีต่อๆ มาก็พุ่งชนเป้าหมาย ที่อยู่ส่วนบนของรถถัง ซึ่งมองเห็นเพียงครึ่งคัน เกิดระเบิดรุนแรง ทำให้เห็นเศษชิ้นส่วนจำนวนหนึ่งกระเด็นกระดอน
น่าเสียดายที่มือโพสต์ของ ISIS รีบตัดตอนท้ายๆ เหตุการณ์ออกไป ไม่เช่นนั้น RT อาจจะไม่รีบด่วนสรุปว่า "รถถังตุรกีถูกทำลาย" -- ก็เพราะว่ารถถังคันนี้ยังอยู่ ทำให้มีเรื่องต้องถามไถ่กันต่อไปอีก ในเว็บไซต์ข่าวกลาโหมหลายแห่ง และ ต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลเนื้อหา ที่ขอสรุปมาเล่าสู่กันฟัง ..
.
2
3
4
ย้อนประวัติไปสักนิด -- สหรัฐเริ่มพัฒนารถถังหลักซีรีส์ M60 ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1950 เริ่มเข้าประจำการ ช่วงต้นทศวรรษถัดมา คือ เมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว เป็นรถถังหลักรุ่นแรกที่ผลิตในสหรัฐ ออกแบบมา เพื่อต่อกรกับ T-54, T-55 ของฝ่ายโซเวียต ซึ่งในช่วงปีโน้นเป็นภัยข่มขู่ร้ายแรง ต่อทหารอเมริกันที่ออกปฏิบัติการ ตาม "จุดร้อน" ต่างๆ ทั่วโลก
ซีรีส์ M60 เป็นผลพวงการพัฒนา M48 "แพ็ตตัน" ถึงแม้ว่ากองทัพสหรัฐจะไม่เคยเรียก M60 ว่า "Patton" อย่างเป็นทางการ แต่ทั่วโลกก็ยังเรียกชื่อนี้มาตลอด -- เรื่องที่ใกล้ตัวก็คือ นอกจาก M60A1 และ M60A3 แล้ว กองทัพบกไทยก็ยังมี M48A5 "คุณปู่แพ็ตตัน" ดั้งเดิม ที่ยังใช้ได้อีกราว 100 คัน
M60 ได้เปลี่ยนรูปโฉมซีรีส์ M48 อย่างสำคัญ จากรถถังขนาดกลาง กลายมาเป็นรถถังหลัก เมนบอดี้คือตัวถัง และ ป้อมปืน หล่อเป็นชิ้นเดียว ติดเครื่องยนต์แรงม้าสูงขึ้น แล่นเร็วขึ้น ใหม่ทั้งระบบขับเคลื่อน ระบบอาวุธ ระบบเกราะป้องกัน ยังคงติดปืนใหญ่ 105 มม. เช่นเดียวกันกับ M48 รุ่นหลังๆ แต่เมื่อเทียบกับ T-54, T-55 ค่ายโซเวียตที่ติดปืน 100 มม. ก็ต้องนับว่าเหนือกว่าในทุกๆ ด้าน
ใช้มาไม่กี่ปี กลุ่มบริษัทไครส์เลอร์ผู้ผลิตก็เข็น M60A1 รุ่นปรับปรุงออกมา และ ในช่วงทศวรรษที่ 1980 ก็พัฒนามาถึง A3 เพิ่มอำนาจการยิง จากรุ่นแรกที่มีความเพิ่มแม่นยำเพียงประมาณ 23% สำหรับเป้าหมายระยะ 2,000 เมตร โอกาสที่จะโดน ก็เพิ่มขึ้นเป็น 70% ใน M60A3
ไม่เพียงแต่ใช้ในกองทัพสหรัฐเท่านั้น M60 ยังได้ชื่อเป็นรถถังหลักที่ส่งออกมากที่สุดอีกรุ่นหนึ่งด้วย โดยอิสราเอลเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุด ทั้งยังนำไปพัฒนาต่อในประเทศอีก เมื่อกองทัพบกสหรัฐปลดระวาง ในปลายทศวรรษที่ 1980 ทั้ง A1 A2 และ A3 อีกหลายพันคันก็ได้ตกทอดไปถึง บรรดาชาติพันธมิตร รวมทั้งไทยด้วย
.
5
ตามตัวเลขที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ข่าวกลาโหมต่างๆ อิสราเอลมี M60A1/2/3 รวมกันประมาณ 1,400 คัน ตุรกีอีกกว่า 1,000 คัน ในนั้นมี M60A1-A3 ราว 170 คัน ผ่าน Deep Upgrade มาเป็น "ซาบรา" รวมทั้งคันที่ถูกยิงด้วยจรวดคอร์เน็ตที่ชายแดนอิรัก
บริษัทอิสราเอล "โม" M60 หัวจดท้าย บนแชสซีเดิมๆ แต่ทำให้รับน้ำหนักได้มากขึ้น เปลี่ยนระบบปืนใหญ่ 105 มม. มาเป็นขนาด 120 มม. บนป้อมปืนใหม่ ยิงกระสุนมาตรฐานนาโต้ได้ทุกชนิด ติดเครื่องยนต์ขนาดเดียวกันกับเมอร์คาวา (Merkava) หุ้มเกราะ"โมดูลาร์" (Modular Armour/ถอดเปลี่ยนได้) ระบบเดียวกันกับเมอร์คาวา Mk3
มีรายงานก่อนหน้านี้ว่า รถถังอัปเกรดรุ่นใหม่ๆ จำนวนมาก ได้ติดตั้งเครื่องยนต์รุ่นเดียวกับของเมอร์คาวา Mk4 ซึ่งได้ชื่อเป็นรถถังหลักดีที่สุดอีกรุ่นหนึ่งของโลก และ รัฐบาลอิสราเอลยังไม่ให้ส่งออก
การเปลี่ยนแปลงภายนอก นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในใหม่ทั้งหมด จึงเรียกกันว่า นี่คือการ Deep Upgrade ซึ่งหลังจากนั้น ทั้งอิสราเอลและตุรกี ได้ให้ชื่อใหม่เป็น "ซาบรา" ขณะที่ชื่ออย่างเป็นทางการในสารระบบของกองทัพคือ "M60T"
ซาบรายังติดปืนกลขนาด 7.62 มม.เพิ่มบนตัวถังอีก 1 ชุด ปืนกล 12.7 มม.อีก 1 ชุด ปืนครก 60 มม.อีก 1 กระบอก -- และ ขอพักเอาไว้เท่านี้ก่อน ..
.
6
แต่.. ถึงแม้ซาบราจะได้รับการปรับปรุงหัวจดท้าย หลังคาจดพื้น ตามที่กล่าวมาแล้ว ในทางทฤษฎี ก็ไม่มีทางรอดพ้นจรวดคอร์เน็ต ได้ เพราะนี่คือจรวดยิงรถถังที่นำวิถีด้วยเลเซอร์ ดีที่สุดและใช้แพร่หลายมากที่สุดในสนามรบ นาโต้เรียก AT-14 "สปริกกัน" (Spriggan) แต่ขนาดใหญ่กว่า และ ราคาแพงกว่าจรวดฟาก็อต (Fagot) กับจรวดคอนเคอร์ส (Konkurs) ซึ่งเป็นรุ่นเก่ากว่า ก็จึงใช้อย่างจำกัด
ถึงแม้ว่า รัสเซียจะพัฒนาคอร์เน็ต ขึ้นติดตั้งบนรถหลากหลายแพล็ตฟอร์ม ใช้ระบบออโตโหลดเดอร์ ใช้ระบบนำวิถีรุ่นใหม่ที่ยิงได้คราวละ 2 นัดพร้อมกัน แต่ในภาคสนาม ซึ่งรบแบบเคลื่อนที่เร็ว นักรบก็ยังสะดวกกับการตั้งยิงบนขาหยั่งสามแฉก คล้ายกับจรวด TOW ของสหรัฐ ที่เห็นกันมามาก
ด้วยความยาวเพียงประมาณ 120 ซม. วัดเส้นรอบวงได้ 152 มม. และ น้ำหนักเพียง 29 กก. จึงเคลื่อนที่ได้สะดวก ใช้คน 3 คน ช่วยกันหิ้วคนละชิ้น
หากเทียบกับ TOW-2 ซึ่งเป็นรุ่นที่ใช้มากที่สุด ในสงครามทั้งในซีเรียและในอิรัก จรวดรัสเซียมีระยะยิง/นำวิถีไกล 5,500-10,000 เมตร หัวรบรุนแรงกว่า TOW-2 ราวสองเท่า ประสิทธิภาพจึงสูงกว่ามาก นักวิเคราะห์ในอุตสาหกรรมนี้กล่าวว่า จรวดคอร์เน็ตเป็น "มือพิฆาตรถถัง" อย่างแท้จริงในโลกปัจจุบัน
ตามหลักการนั้น เมื่อหัวรบชนเข้าบริเวณรอยต่อป้อมปืนกับตัวรถ แรงระเบิดจะส่งความร้อนหลายร้อยองศา แทรกเข้าไปตามรอยแยก หรือ ส่งเปลวไฟเข้าถึง "คลังแสง" ซึ่งจะระเบิดทุกสิ่งทุกอย่าง ให้กลายเป็นจุลมหาจุลจากภายใน..
แล้วเหตุไฉน ซาบราคันนี้ ซึ่งไม่ได้มีอะไรดีเด่นเกินหน้าเกินตาจรวดรัสเซีย จึงรอดมาได้? .. นี่คือคำถามใหญ่ที่ชาวเว็บทั่วโลก ถกเถียงกันในช่วง 7-8 วันที่ผ่านมา เพื่อเค้นคำตอบ .. และ หลายคนชี้ให้กลับไปดูระบบป้องกันตนเองแบบ Active Protection System ของรถถังเมอร์คาวา ..
.
.
ประชาคมคนนิยมในอาวุธยุทโธปกรณ์ เชื่อว่ารถถังซาบราในคลิปและในภาพนี้ --- ติดตั้งระบบ APS แบบ "โทรฟี" (Trophy) ที่มีชื่อเสียงของอิสราเอลเข้าไปด้วย นี่คืออีกระบบหนึ่ง ที่ทำงานร่วมกันระว่างระบบเซ็นเซอร์/เรดาร์ตรวจจับหัวรบ และ แจ้งให้ระบบยิงส่ง"หัวกระสุน" ที่ทำงานคล้ายกับกระสุนที่ยิงออกจากปืนลูกซอง ออกไปทำลายหัวรบ ก่อนจะเข้าถึงตัว คล้ายกับระบบ Kontakt-5 อันลือชื่อของรัสเซีย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า โทรฟีเป็น APS ที่ก้าวหน้าที่สุดอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งสัปดาห์ที่แล้ว มีข่าวจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐว่า อาจสั่งซื้อ หรือ "เช่า" ระบบนี้จากกลุ่มบริษัทราฟาเอล (Rafael) ผู้ผลิต เพื่อนำไปติดตั้งในรถถัง M1A1 "เอบรามส์" ที่จะออกปฏิบัติการในย่านตะวันออกกลาง และ ที่อื่นๆ ทั่วโลก ถึงแม้ว่าสหรัฐจะมีระบบของตนคล้ายกันนี้ ติดตั้งในรุ่น M1A2 อยู่แล้วก็ตาม
ก่อนหน้านี้เคยมีวิดีโอคลิปออกมาเผยแพร่ แสดงให้เห็นเหตุการณ์คล้ายกันกับในคลิปแสดงให้เห็น เหตุการณ์โจมตี ยิงรถถังเมอร์คาวาของอิสราเอล โดยกลุ่มก่อการร้ายที่ไม่ทราบฝ่าย และ ให้เห็นการทำงานของ APS ระบบหนึ่ง โดยอ้างว่าระบบโทรฟี แต่แล้วก็ไม่สามารถหาแหล่งใดยืนยัน คลิปในยูทิวบ์ดังกล่าวได้
ถ้าหากเหตุการณ์ในคลิปจากเมืองโมซูล อิรัก นี้ เป็นการโจมตีรถถังตุรกีด้วยจรวดคอร์เน็ตจริง ตามที่สื่อรัสเซียรายงาน ก็ต้องนับเป็นครั้งแรก ที่คนในวงการ มีโอกาสได้เห็นเป็นบุญตา หลังจาก รถถัง T-90A ของกองทัพซีเรีย คันหนึ่ง ถูกฝ่ายต่อต้านรัฐบาลยิงด้วยจรวด TOW-2 ในซีเรีย และ ยังคงกระพันอยู่ได้ จนเป็นข่าวฮือฮาไปทั่วโลกเมื่อเดือนที่แล้ว
นั่นคือเหตุการณ์ที่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ (Washington Post) อันทรงอิทธิพลในสหรัฐ นำทั้งภาพและข่าว ไปรายงาน.