ASTVผู้จัดการออนไลน์ - บริษัทอุตสาหกรรมอากาศยานเกาหลี หรือ KAI (Korea Aerospace Industries) แถลงในวันพฤหัสบดี 17 ก.ย.ว่า ได้เซ็นสัญญากับฝ่ายไทยเพื่อจำหน่ายเครื่องบินฝึกไอพ่นแบบ T-50 “โกลเด้นอีเกิล” (Golden Eagle) ให้ไทย จำนวน 4 ลำ รวมมูลค่าราว 110 ล้านดอลลาร์ โดยจะมีการส่งมอบภายในเวลา 30 เดือน
ตามรายงานของสำนักข่าวยนฮับซึ่งเป็นของทางการ กองทัพไทยจะใช้เครื่องบินฝึก T-50TH ที่ผลิตในเกาหลี แทนเครื่องบินฝึกแบบ Aero L-39 “Albatros” ซื้อจากประเทศเชโกสโลวะเกียเมื่อก่อน ที่มีอยู่กว่า 30 ลำ และใช้งานมาเป็นเวลานาน
ทั้ง T-50TH และ L-39 “อัลบาทรอส” (Albatros) เป็นเครื่องบินฝึกไอพ่นที่สามารถดัดแปลงติดอาวุธใช้เป็นเครื่องบินโจมตีขนาดเบาได้ สำหรับ T-50 ในปัจจุบันยังคงใช้ประจำการในกองทัพอากาศเกาหลี และส่งออกไปยังอีกหลายประเทศ การเซ็นความตกลงซื้อขายดังกล่าวทำให้ไทยเป็นประเทศที่ 3 ในอาเซียนที่จะมี T-50 ประจำการ ถัดจากอินโดนีเซีย ที่สั่งซื้อ 16 ลำ และ ฟิลิปปินส์ 12 ลำ
ผลิตโดยกลุ่มอุตสาหกรรมอากาศยานเพียงแห่งเดียวของรัฐบาล T-50 ยาว 13.14 เมตร สูง 4.94 เมตร ระยะปีกสองข้าง 9.45 เมตร น้ำหนักลำตัวเปล่า 6.47 ตัน รับน้ำหนักได้สูงสุด 12.3 ตัน ติดเครื่องยนต์ของเจเนอรัลอิเล็กทริก (General Electric) ที่ผลิตภายใต้สิทธิบัตรในเกาหลี โดยบริษัทซัมซุงเทควิน (Samsung Techwin)
ด้วยเครื่องยนต์ไอพ่นเทอร์โบแฟน ที่มีระบบอาฟเตอร์เบิร์นเนอร์ (After Burner) หรือระบบพ่นเชื้อเพลิงท้ายเครื่องเพื่อเพิ่มแรงบิด เช่นเดียวกับเครื่องบินขับไล่/โจมตีขนาดใหญ่ทั่วไป ทำให้ T-50 สามารถทำความเร็วในระดับซูเปอร์โซนิคได้ คือ ความเร็วสูงสุดถึง 1,640 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนความสูงจากพื้นโลก 9 กม.เศษ อันเป็นความสามารถที่หาได้ยากในบรรดาเครื่องบินเจ็ตสำหรับฝึก
ส่วนอัลบราทอส เป็นเครื่องบินฝึกไอพ่นได้รับความนิยมมากที่สุดอีกรุ่นหนึ่งของโลก มีใช้ในกว่า 50 ประเทศ และใช้กันมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น ในย่านนี้นอกจากไทยแล้ว กองทัพอากาศเวียดนามก็เป็นลูกค้าอีกรายหนึ่งของเครื่องบินฝึกตระกูลเช็ก มีขนาดใกล้เคียงกับอินทรีทอง แต่ไม่สามารถทำความเร็วระดับเหนือเสียงได้
.
.
สำหรับ T-50 เจ้าหน้าที่เกาหลีเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ฝ่ายไทยได้ขอรายละเอียดไปตั้งแต่ปี 2555 เพื่อประกอบการพิจารณาตัดสินใจ
ไม่กี่ปีมานี้ไทยได้กลายเป็นลูกค้าอาวุธยุทโธปกรณ์อีกรายหนึ่งของเกาหลี รวมทั้งการเซ็นซื้อเรือฟริเกตรุ่นหนึ่ง ที่ผลิตโดยกลุ่มแดวูในเดือน ส.ค.2556 เป็นมูลค่า 470 ล้านดอลลาร์ และได้กลายเป็นการนำเข้าอาวุธรายการเดียวที่มีมูลค่าสูงสุดของกองทัพไทย นอกจากนั้น ฝ่ายไทยยังแสดงความสนใจที่จะสั่งต่ออีก 1 ลำด้วย
ตามรายงานของหนังสือพิมพ์โคเรียไทมส์ก่อนหน้านี้ เรือฟริเกตขนาด 3,700 ตัน ภายใต้ขื่อ DW3000F ที่กองทัพเรือไทยสั่งซื้อนั้นต่อขึ้นตามโครงของเรือพิฆาตรุ่นเล็ก แบบ KDX-1 สำหรับกองทัพเรือ แต่ได้ทยอยปลดระวางประจำการไปหมดแล้ว
การส่งมอบเรือมีกำหนดในปี 2560 ราชนาวีไทยมีแผนการจะนำเรือฟริเกตเกาหลีไปติดตั้งระบบอาวุธของผลิตชั้นนำระดับโลก ซึ่งรวมทั้งระบบอำนวยการสู้รบ 9LV Mk4 ของกลุ่มซาบแห่งสวีเดน ระบบท่อยิงจรวดแนวตั้ง Mk 41 ที่ผลิตโดยล็อกฮีดมาร์ติน แห่งสหรัฐฯ ระบบจรวดต่อสู้อากาศยาน ESSM (Evolved SeaSparrow Missile) โดยบริษัทเรธีออน กับจรวดยิงเรือแบบฮาร์พูน RGM-84 โดยโบอิ้ง
สื่อของเกาหลี กล่าวว่า ไทยยังมีแผนการจะติดตั้งปืนใหญ่เรือยิงเร็ว 76 มม. โอโตเมเลรา (Oto Melera) ที่ผลิตในตุรกี และปืนใหญ่เรือ 30 มม. แบบ “ซีฮอว์ก” ที่ผลิตในอังกฤษด้วย.