เอเอฟพี - เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม จะเดินทางเยือนทำเนียบขาวเป็นครั้งแรกในวันพรุ่งนี้ (6) โดยจะเข้าพบกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา เนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปี สิ้นสุดสงครามระหว่างสองประเทศ
การเยือนครั้งสำคัญที่เป็นการย้ำความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นระหว่างอดีตศัตรูสงคราม ท่ามกลางความตึงเครียดทางทะเลในระดับภูมิภาคที่เกี่ยวข้องกับจีน
เหวียน ฝู จ่อง จะกลายเป็นเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามคนแรก ที่เดินทางเยือนสหรัฐฯ และทำเนียบขาว
โอบามา และเหวียน ฝู จ่องจะพบหารือกันในวันอังคาร (7) และพูดคุยถึงหนทางที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ที่ฟื้นคืนสู่ระดับปกติเมื่อ 20 ปีก่อน ตามการระบุของทำเนียบขาว
เหวียน ฝู จ่อง ที่เป็นหัวหน้าพรรครัฐบาล แต่ไม่ได้มีตำแหน่งในรัฐบาล จะได้เข้าพบกับโอบามาที่ห้องทำงานรูปไข่ ซึ่งถือว่าเป็นเกียรติสำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นหัวหน้าประเทศ หรือรัฐบาล
“ประธานาธิบดียังยินดีกับโอกาสที่จะได้หารือในประเด็นต่างๆ ซึ่งรวมทั้งความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (TPP) สิทธิมนุษชน และความร่วมมือด้านการป้องกันทวิภาคี” ทำเนียบขาวระบุในคำแถลงฉบับหนึ่ง
เวียดนาม กระตือรือร้นที่จะดึงดูดการลงทุน และเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาที่กำลังดำเนินอยูต่อข้อเสนอ TPP ข้อตกลงการค้าที่สหรัฐฯ เป็นแกนนำท่ามกลางชาติในภูมิภาคแปซิฟิก 12 ประเทศ
“การเยือนครั้งนี้ถือได้ว่ามีความสำคัญต่อเวียดนามที่จะแสดงให้เห็นภาพของความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดขึ้นกับสหรัฐฯ” บุ่ย เกียน แถ่ง นักเศรษฐศาสตร์ชาวเวียดนามกล่าว แต่เตือนว่า ฮานอยควรระมัดระวังปฏิกิริยาของจีน
ปีนี้ยังเป็นปีครบรอบ 20 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตหลังสงคราม ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
อดีตศัตรูสงครามที่กลับมาปรองดองกันในเวลานี้ ได้สร้างความสัมพันธ์ทางการค้า การทหาร และการปกครองที่ลึกซึ้งขึ้น ด้วยความต้องการที่จะจำกัดอิทธิพลของจีน
ท่าทีรุกรานของจีนต่อการอ้างสิทธิอธิปไตยเหนือดินแดนในทะเลจีนใต้ ที่รวมทั้งการติดตั้งอุปกรณ์ทางทหารในหมู่เกาะสแปรตลีย์ ที่เวียดนามเองก็อ้างสิทธิในพื้นที่บางส่วนเช่นกัน ยิ่งทำให้เชื่อว่า วอชิงตันและฮานอยต้องทำงานร่วมกัน
นอกจากข้อพิพาทดินแดนในทะเลจีนใต้แล้ว การค้า และสิทธิมนุษยชนก็จะอยู่ในวาระหารือด้วย
เวียดนาม กำลังมองหาการยกเลิกการห้ามขายอาวุธของสหรัฐฯ ทั้งหมด และหวังที่จะซื้ออุปกรณ์เฝ้าระวัง และเรือตรวจการณ์ที่จะช่วยป้องกันน่านน้ำของประเทศ
การใช้จ่ายของกองทัพเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ราว 130% นับตั้งแต่ปี 2548 ตามการระบุของสถาบันค้นคว้าวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม แต่กฎหมายของสหรัฐฯ ระบุห้ามขายอาวุธร้ายแรงให้แก่ฮานอย และสภาคองเกรส ยังคงวิตกว่าอาวุธต่างๆ อาจถูกนำไปใช้ในการละเมิดสิทธิมนุษยชน.