เอเอฟพี - ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้ต้อนรับผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามวานนี้ (7) ที่ทำเนียบขาว เพื่อหารือครั้งประวัติศาสตร์แต่ตรงไปตรงมา ที่เป็นเครื่องหมายของช่วงเวลา 2 ทศวรรษในการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างอดีตศัตรูสงคราม
เหวียน ฝู จ่อง นับเป็นเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามคนแรกที่เดินทางเยือนสหรัฐฯ และทำเนียบขาว และยังได้รับเกียรติพูดคุยหารือยังห้องทำงานรูปไข่ ซึ่งปกติมักสงวนไว้สำหรับผู้นำประเทศ และรัฐบาล
วอชิงตัน และฮานอยที่สิ้นสุดสงครามอันขมขื่นเมื่อ 40 ปีก่อน กำลังฉลองวาระครบรอบ 20 ปีของการฟื้นคืนความสัมพันธ์สู่ระดับปกติ และกำลังมองหาความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งในการเผชิญหน้าต่อการรุกรานที่เพิ่มขึ้นของจีน
ทั้งสองฝ่าย ที่ต่างยิ้มแย้ม และมีท่าทีผ่อนคลายนั่งติดกันในห้องทำงานรูปไข่หลังการหารือที่เป็นสัญลักษณ์ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา
“แม้จะมีประวัติศาสตร์ที่ยากลำบาก แต่สิ่งที่เราได้เห็นคือ การเกิดขึ้นของความสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์ที่อยู่บนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน” โอบามา กล่าว
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่า ประเด็นความสัมพันธ์ทางการค้า ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้เกี่ยวกับการอ้างสิทธิอธิปไตยเหนือดินแดนของปักกิ่ง และประเด็นปัญหาสิทธิมนุษยชน ถูกยกขึ้นหารือในครั้งนี้
“เราหารืออย่างตรงไปตรงมาถึงความแตกต่างของเราเกี่ยวกับปัญหาสิทธิมนุษยชน” โอบามา กล่าว และแสดงความมั่นใจว่า ความตึงเครียดจะสามารถแก้ไขได้ด้วยแนวทางที่มีประสิทธิภาพ
เหวียน ฝู จ่อง ระบุว่า การหารือเป็นไปด้วยความจริงใจ สร้างสรรค์ เชิงบวก และเปิดเผย ไม่อ้อมค้อม ส่วนการหารือเกี่ยวกับการค้า และสิทธิมนุษยชนก็เป็นไปอย่างตรงไปตรงมา
แม้จะไม่มีการอ้างถึงจีน เหวียน ฝู จ่อง แสดงความวิตกเกี่ยวกับกิจกรรมเมื่อไม่นานนี้ในทะเลจีนใต้ ที่ไม่สอดคล้องต่อกฎหมายระหว่างประเทศ
ปักกิ่ง แสดงท่าทีรุกรานมากขึ้นในการอ้างสิทธิดินแดนในทะเลจีนใต้ รวมทั้งการติดตั้งอุปกรณ์ทางทหารบนหมู่เกาะสแปรตลีย์ ที่เป็นข้อพิพาท ซึ่งเวียดนามก็อ้างสิทธิบางส่วน
ทะเลจีนใต้นั้นเป็นเส้นทางเดินเรือสินค้าสำคัญ และเชื่อว่าอุดมไปด้วยน้ำมัน และก๊าซ
ขณะที่ฝ่ายโอบามา ระบุว่า เฝ้ารอที่จะเดินทางเยือนเวียดนามในอนาคต แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับช่วงเวลา
การหารือที่ทำเนียบขาวครั้งนี้ ได้จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่มีผู้ชุมนุมประท้วงหลายร้อยคนเดินขบวนอยู่ด้านนอกทำเนียบขาว เรียกร้องการขยายสิทธิมนุษยชนในเวียดนาม ปัญหาที่จุดชนวนความวิตกในหมู่สมาชิกรัฐสภาอเมริกันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง
ผู้ชุมนุมประท้วงถือป้ายที่เขียนข้อความเรียกร้องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในเวียดนาม และเรียกร้องให้รัฐบาลเวียดนามปล่อยตัวนักโทษการเมืองทั้งหมด
ในจดหมายเปิดผนึกถึงประธานาธิบดี สมาชิกพรรคเดโมแครต และรีพับลิกันของสภาครองเกรสได้ร้องเรียนว่าการเชิญ และการต้อนรับอย่างอบอุ่นแก่นายเหวียน ฝู จ่อง เป็นการส่งสารผิด
“ระบบเผด็จการพรรคเดียวเช่นนี้เป็นต้นตอของสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่น่าวิตกในเวียดนาม” ข้อความในจดหมายระบุ พร้อมเรียกร้องให้โอบามา ร้องการปล่อยตัวนักโทษการเมืองชาวเวียดนาม
นอกเหนือไปจากคำถามเกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชน ปัญหาสำคัญที่ถูกนำขึ้นหารือบนโต๊ะเจรจาคือ การค้า ซึ่งโอบามา ต้องการที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าในภูมิภาคแปซิฟิก 12 ประเทศ หรือ TPP ที่รวมเวียดนามด้วย
คริส สมิธ สมาชิกสภาคองเกรสจากรีพับลิกัน หนึ่งให้ผู้ที่ลงนามในจดหมายเปิดผนึก และคนอื่นๆ ในคองเกรส ไม่ต้องการให้เวียดนามรวมอยู่ใน TPP จนกว่าเวียดนามจะมีความคืบหน้าเกี่ยวกับสิทธิทางการเมือง
“ประธานาธิบดีโอบามา ยังคงเชื่อว่าการค้าจะเปลี่ยนพฤติกรรมของเวียดนาม” สมิธ กล่าวต่อเอเอฟพี ก่อนการเยือนของเหวียน ฝู จ่อง
จอห์น ซิฟตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียของฮิวแมนไรท์วอช กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงในเวียดนามยังเกิดขึ้นไม่มากพอที่จะทำให้ทำเนียบขาวจะวางใจได้ และยังเรียกร้องให้โอบามา ยกระดับของปัญหาสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสองประเทศกำลังวางแผนที่จะประกาศระดับใหม่ในความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน
และส่วนหนึ่งของการยกระดับความสัมพันธ์ อาจเป็นการยกเลิกการห้ามขายอาวุธ ที่เวียดนามหวังจะบรรลุ
ในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา วอชิงตันประกาศยกเลิกข้อห้ามบางส่วน และอนุญาตให้ขายอุปกรณ์ป้องกันทางทะเลแก่เวียดนาม แต่กฎหมายสหรัฐฯ ในปัจจุบันยังคงห้ามจำหน่ายอาวุธร้ายแรงให้แก่เวียดนาม
เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า วอชิงตันต้องการที่จะเห็นความคืบหน้าเพิ่มขึ้นในด้านสิทธิมนุษยชนก่อนที่จะดำเนินการใดๆ ต่อ
ในวันพุธ (8) เหวียน ฝู จ่อง จะพบหารือกับวุฒิสมาชิกจอห์น แมคเคน ที่ยกย่องความคืบหน้าที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ทวิภาคี และเรียกร้องให้ผ่อนคลายการห้ามจำหน่ายอาวุธร้ายแรงเพิ่มเติม.