รอยเตอร์ - เวียดนาม กำลังติดอาวุธให้แก่กองเรือดำน้ำของตัวเองด้วยขีปนาวุธโจมตีภาคพื้นดินที่สามารถโจมตีได้ไกลถึงเมืองชายฝั่งของจีน นับเป็นตัวเลือกอาวุธที่มีแนวโน้มว่าจีนอาจมองว่า เป็นการยั่วยุในข้อพิพาททะเลจีนใต้ที่กำลังดำเนินอยู่
สถาบันค้นคว้าวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) รายงานข้อมูลล่าสุดบนเว็บไซต์ระบุถึงการได้รับขีปนาวุธคลับแบบโจมตีภาคพื้นดินที่ผลิตขึ้นในรัสเซียสำหรับเรือดำน้ำชั้นกิโลของเวียดนาม ซึ่งไซมอน เวเซมาน นักวิจัยอาวุธของ SIPRI เผยว่า รายงานดังกล่าวมีขึ้นจากข้อมูลลงทะเบียนอาวุธทั่วไปต่อสหประชาชาติของเวียดนามเมื่อปีก่อน
ทูตทหารระดับภูมิภาค และนักวิเคราะห์มองว่า ขีปนาวุธนี้เป็นสัญญาณความมุ่งมั่นของเวียดนามที่จะตอบโต้การขยายตัวขึ้นของกองทัพจีน และเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมอาวุธของบรรดาชาติเอเชียต่างๆ ท่ามกลางความตึงเครียดดินแดนที่เพิ่มสูงขึ้น
ตัวเลือกอาวุธนี้มีลักษณะของการรุกรานมากกว่าขีปนาวุธต่อต้านเรือผิวน้ำที่คาดว่าเวียดนามจะได้รับ และด้วยความสามารถในการโจมตีเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ในระยะพิสัย 300 กิโลเมตร นอกจากเรือ และเรือดำน้ำของจีนในทะเลจีนใต้แล้ว เมืองต่างๆ ที่อยู่ตามแนวชายฝั่งของจีนอาจกลายเป็นเป้าหมายในข้อขัดแย้งใดๆ ได้เช่นกัน
คาร์ล เธเยอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารของเวียดนาม จากโรงเรียนรวมเหล่าออสเตรเลีย กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวนี้เป็น “การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่” เกินกว่ากลยุทธ์ต่อต้านเรือที่เคยเกิดขึ้นอย่างเคย
“พวกเขาทำให้ตัวเองมีอำนาจมากขึ้นในการป้องปรามที่สร้างความสับสนต่อการคำนวณทางยุทธศาสตร์ของจีน” เธเยอร์ กล่าว พร้อมระบุว่า เขารู้สึกประหลาดใจต่อความเคลื่อนไหวของเวียดนามครั้งนี้
เวียดนาม เป็นชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รายแรกที่ติดอาวุธกองเรือดำน้ำด้วยขีปนาวุธโจมตีภาคพื้นดิน โดยเจ้าหน้าที่ทางทหารของเวียดนามได้อธิบายก่อนหน้านี้ว่า การติดอาวุธของเวียดนาม รวมทั้งการซื้อเรือดำน้ำเป็นเพียงการป้องกัน
บริษัท Almaz-Antey ในกรุงมอสโก ที่เป็นบริษัทแม่ของบริษัท Novator ผู้ผลิตขีปนาวุธ ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นถึงการขายอาวุธให้แก่เวียดนาม
เธเยอร์ ระบุว่า แทนที่จะเสี่ยงโจมตีเมืองใหญ่ เช่น เซี่ยงไฮ้ มีแนวโน้มมากกว่าที่เวียดนามจะมองไปยังท่าเรือ และสนามบินที่อยู่ใกล้ขึ้น เช่น ฐานทัพเรือเมืองซานย่า ของเกาะไหหลำ และสิ่งปลูกสร้างบนเกาะจำลองที่จีนกำลังสร้างขึ้นในทะเลจีนใต้ ซึ่งน่าจะเป็นเป้าหมายที่มีศักยภาพ
แม้เวียดนาม และจีนต่างก็ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ฮานอย ยังคงไม่วางใจปักกิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอ้างสิทธิอธิปไตยของจีนเหนือพื้นที่เกือบทั้งหมดของทะเลจีนใต้
การตั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันของปักกิ่งในน่านน้ำที่เวียดนามอ้างสิทธิเมื่อปีก่อน ก่อให้เกิดเหตุจลาจลในเวียดนาม และสร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้นำเวียดนาม ขณะที่เรือรักษาการณ์ชายฝั่ง และเรือประมงของเวียดนาม ถูกเรือของจีนที่มีขนาดใหญ่กว่ารุกไล่ในการเผชิญหน้ากันหลายครั้ง
กองทัพเรือของสองประเทศมักจับตาดูอีกฝ่ายเกี่ยวกับการครอบครองสิทธิในหมู่เกาะสแปรตลีย์ที่เป็นข้อพิพาท
ก่อนได้รับอาวุธใหม่ล่าสุดนี้ ศักยภาพในการโจมตีภาคพื้นดินก่อนหน้านี้ของเวียดนามยังจำกัดอยู่แค่เพียงขีปนาวุธสกั๊ด แบบโจมตีจากพื้นดินสู่พื้นดิน และอาวุธที่ยิงจากเครื่องบิน Su-30
กองทัพเรือเวียดนาม มีเรือดำน้ำชั้นกิโลจากรัสเซียอยู่ในครอบครองแล้ว 3 ลำ ขณะที่ลำที่ 4 อยู่ในระหว่างการขนส่ง ภายใต้ข้อตกลง 2,600 ล้านดอลลาร์ ที่ลงนามกันในกรุงมอสโก เมื่อปี 2552 ตามการรายงานของสื่อทางการเวียดนาม ส่วนลำที่ 5 อยู่ในระหว่างการทดสอบนอกชายฝั่งนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และลำที่ 6 ซึ่งเป็นลำสุดท้าย คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2559
SIPRI ได้ข้อมูลการขายจรวดร่อน “คลับ” ซึ่งเป็นขีปนาวุธโจมตีภาคพื้นดิน และต่อต้านเรือ จำนวน 50 ลูก ให้แก่เวียดนาม อันเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลง ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีการส่งมอบแล้ว 28 ลูก
วาสิลี แคชิน นักวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ในกรุงมอสโก ระบุว่า เรือดำน้ำชั้นกิโลที่ขายให้แก่เวียดนามนั้นมีความทันสมัยมากกว่าเรือดำน้ำที่จีนใช้อยู่ ขณะเดียวกัน รัสเซียก็ไม่เคยขายจรวดร่อนคลับโจมตีภาคพื้นดินให้แก่ปักกิ่งที่พัฒนาอาวุธที่คล้ายกันของตัวเองขึ้นมาชื่อ YJ-18
จา เต้าเจียง ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเสริมอาวุธยุทธภัณฑ์ระดับภูมิภาคตามปกติ แต่ฮานอยจะต้องตระหนักถึงความเสียหายหากใช้อาวุธเหล่านี้ต่อต้านจีน
เทรเวอร์ ฮอลลิงส์บี อดีตนักวิเคราะห์ข่าวกรองกองทัพเรือกระทรวงกลาโหมอังกฤษ กล่าวว่า เวียดนามกำลังสร้างความปวดหัวทางยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ที่สุดในทะเลจีนใต้ให้แก่จีน.