รอยเตอร์ - อองซานซูจี หัวหน้าฝ่ายค้านพม่า กล่าววานนี้ (5) ว่า การปฏิรูปทางการเมืองของพม่าได้หยุดชะงักมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว และกล่าวหาว่า สหรัฐฯ มองแง่ดีเกินไปเกี่ยวกับโอกาสของความคืบหน้าของพม่า
คำเตือนของเจ้าของรางวัลโนเบลสันติภาพมีขึ้นหนึ่งสัปดาห์ก่อนประธานาธิบดีบารัค โอบามา และบรรดาผู้นำประเทศต่างๆ จะเดินทางเยือนพม่าเพื่อเข้าร่วมการประชุมระดับภูมิภาค
ผู้นำทหารพม่าได้พยายามที่จะยุติสถานะการเป็นประเทศที่ถูกโดดเดี่ยวในปี 2554 ด้วยการยกเลิกระเบียบข้อบังคับต่อฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง และปล่อยตัวนักโทษการเมืองเป็นอิสระ อันเป็นความเคลื่อนไหวที่ได้รับการต้อนรับอย่างกว้างขวางจากทั้งผู้นำสหรัฐฯ และชาติตะวันตกอื่นๆ
แต่รัฐบาลกลับล้มเหลวที่จะควบคุมจัดการต่อความตึงเครียดระหว่างชาวพุทธ และมุสลิมโรฮิงญา ซึ่งกลุ่มสิทธิมนุษยชนได้กล่าวหาถึงการละเมิดของกองทัพทหาร และการปราบปรามสื่อของทางการ ที่มีนักข่าวอย่างน้อย 16 คน ถูกจับกุมตัวในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ผู้ปกครองของพม่าปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้
ซูจี กล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่า รัฐบาลสหรัฐฯ มองแง่ดีเกินไปเกี่ยวกับกระบวนการปฏิรูป หากศึกษาอย่างแท้จริงถึงสถานการณ์ในประเทศจะพบว่า กระบวนการการปฏิรูปนี้เริ่มหยุดชะงักตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว
“ในความเป็นจริง ฉันต้องการที่จะท้าคนเหล่านั้นที่พูดกันมากเกี่ยวกับกระบวนการการปฏิรูป ว่าอะไรคือ การปฏิรูปที่เกิดขึ้นในช่วง 24 เดือนที่ผ่านมา” ซูจี กล่าว
รายงานพิเศษของรอยเตอร์ที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร (4) อ้างคำกล่าวของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ระบุว่า ฝ่ายบริหารของโอบามา กำลังยอมรับอย่างเงียบๆ ต่อการตัดสินใจของรัฐบาลพม่าที่ป้องกันนางอองซานซูจี จากการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งปีหน้า
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ร่างขึ้นโดยรัฐบาลทหารระบุห้ามบุคคลที่มีคู่สมรส หรือบุตรเป็นชาวต่างชาติเป็นผู้นำประเทศ ซึ่งซูจี นั้นมีสามี และบุตรชาย 2 คนเป็นชาวอังกฤษ และทหารในรัฐสภายังมีอำนาจยับยั้งต่อความพยายามใดๆ ก็ตามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ กล่าวต่อสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า การตัดสินใจที่จะไม่กดดันรัฐบาลให้แก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นเป็นความพยายามที่จะถ่วงดุลการผลักดันการปฏิรูปของโอบามา ด้วยหวังที่จะรักษาอิทธิพลกับรัฐบาลที่ยังคงนำโดยอดีตนายพลบางส่วนที่ควบคุมตัว ซูจี ในบ้านพักนาน 15 ปี แต่โอบามา ก็จะไม่เพลามือต่อประธานาธิบดีเต็งเส่ง
เจ้าหน้าที่ระบุว่า ยังจะไม่มีการผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติม ไม่มีการถอนชื่อออกจากบัญชีดำของสหรัฐฯ และไม่มีความร่วมมือระหว่างทหารฉบับใหม่.