ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับเศรษฐกิจและการลงทุนของเวียดนาม ได้บอกกับฝ่ายลาวว่า ผู้ลงทุนจากเวียดนาม จะดำเนินการก่อสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงขนาดใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งในแขวงหลวงพระบางอย่างแน่นอน ถ้าหากคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง เห็นว่าไม่ส่งประทบต่อสภาพแวดล้อมมากมาย และได้ขอให้ลาวช่วยอำนวยความสะดวกในเรื่องนี้ เช่นเดียวกันกับโครงการลงทุนอื่นๆ ของนักลงทุนจากประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้อีกด้วย
นายหวูวันนีง (Vu Van Ninh) รองนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งรัฐเวียดนาม กล่าวถึงเรื่องนี้ระหว่างพบหารือกับนายสมสะหวาด เล่งสะหวัด รองนายกรัฐมนตรี ผู้กำกับและชี้นำด้านเศรษฐกิจและการลงทุนของลาวที่ไปเยือน สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สื่อของทางการรายงาน ซึ่งนับเป็นข่าวคราวชิ้นแรกเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างเขื่อนใหญ่ หลังจากเงียบหายไปนานถึง 7 ปี นับตั้งแต่มีการเซ็นบันทึกช่วยจำเพื่อสำรวจศึกษาโครงการ
นายวันนีงบอกกับรองนายกฯ ลาวว่า รัฐบาลเวียดนามได้ชี้นำให้ กลุ่มปิโตรเวียเดนาม รัฐวิสาหกิจน้ำมันและก๊าซแห่งชาติ ให้เข้าลงทุ่นในโครงการนี้ เช่นเดียวกันการลงทุนก่อสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่อีกหลายแห่งในภาคใต้ของลาว หนังสือพิมพ์ลาวพัดทะนา ของสมาคมนักข่าวแห่งขาติรายงาน
"ท่านได้เน้นหนักว่า รัฐบาลเวียดนามได้ชี้นำกลุ่มบริษัทดังกล่าว ให้สืบต่อลงทุนโครงการนี้ ดังที่ได้ให้คำมั่นสัญญากับรัฐบาลลาว ถ้าหากว่าผลการศึกษา ตีราคา ขององค์การแม่น้ำโขงเห็นว่า โครงการนี้มีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและแหล่งน้ำของแม่น้ำโขงไม่มาก.." สื่อของทางการรายงานในเว็บไซต์
บริษัทพลังงานปิโตรเวียดนาม (PetroVietnam Power Corporation) ได้เซ็นบันทึกช่วยความจำเพื่อความเข้าใจกับรัฐบาลลาวอย่างเงียบๆ ในวันที่ 14 ต.ค.2550 หรือ เมื่อประมาณ 7 ปีก่อน เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการเขื่อน ที่ออกแบบให้มีกำลังผลิตไฟฟ้า 1,410 เมกะวัตต์ โดยจะใช้เวลาสำรวจศึกษาภายในเวลา 30 เดือน ไปจนถึงเดือน มี.ค.2553 สื่อของทางการเวียดนามเปิดเผยเรื่องนี้สู่โลกภายนอกในเดือน ธ.ค.ปีเดียวกัน โดยระบุว่ากลุ่มปิโตรเวียดนาม อาจจะต้องใช้เงินลงทุนถึง 2,000 ล้านดอลลาร์ นั่นคือมูลค่าเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ในขณะที่รัฐวิสาหกิจน้ำมันแห่งชาติ กำลังระดมทุนไปใช้ในการก่อสร้างโรงกลั่นแห่งแรกของประเทศ
ถึงแม้ระยะเวลาที่ระบุไว้ในเอ็มโอยูระหว่างสองฝายจะพ้นไปแล้วก็ตาม แต่ไม่เคยปรากฏข่าวคราวเกี่ยวกับโครงการเขื่อนหลวงพระบางผ่านสื่อของทั้งสองฝ่ายอีกเลย ซึ่งทำให้หลายคนเชื่อว่า ฝ่ายเวียดนามอาจจะถูกเลิกล้มไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เวียดนามได้ออกประสานเสียงกับกัมพูชา คัดค้านโครงการเขื่อนไซยะบูลีขนาด 1,285 เมกะวัตต์ มูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์ ที่กำลังก่อสร้าง ห่างลงไปทางใต้เกือบ 200 กม.ในแขวงไซยะบูลีขณะนี้ รวมทั้งคัดค้านเขื่อนดอนสะโฮง ที่สร้างกั้นทางน้ำไหลขนาดใหญ่ ในระบบแม่น้ำโขง ทางตอนใต้สุดของลาว เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม ต่อสองประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ใต้ลงไป
เขื่อนหลวงพระบาง จะสร้างขึ้นทางตอนเหนือของเมืองมรดกโลกหลวงพระบาง คาดว่าจะทำให้เกิดพื้นที่น้ำท่วมตามแนวยาวของแม่น้ำ รวมประมาณ 110 ตารางกิโลเมตร นับเป็นเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 ในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง ถัดจากเขื่อนปากแบง ขนาด 921 เมกะวัตต์ ของกลุ่มนักลงทุนจากจีน ที่อยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันตกราว 100 กม. ในแขวงอุดมไซ สื่อของทางการไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ อีก เกี่ยวกับผลการสำรวจศึกษาความเป็นไปได้ ของโครงการเขื่อนกั้นลำน้ำโขงขนาดใหญ่ทั้งสองแห่ง สถานะของโครางการในปัจจุบัน ตลอดจนเงื่อนเวลาที่เกี่ยวข้องต่างๆ
หลายปีมานี้ นักลงทุนจากเวียดนามได้ ยังเข้าลงทุนก่อสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าอีก 5 โครงการในภาคใต้ของลาว ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นรัฐวิสาหกิจ เพื่อผลิตไฟฟ้าส่งไปจำหน่ายในเวียดนาม กับอีกส่วนหนึ่ง ขายให้ไทยและกัมพูชา ซึ่งตามรายงานล่าสุด รองนายกรัฐมนสตรีของลาวและเวียดนาม ได้แสดงความยินดี ต่อความตกลที่สองฝ่ายจะสร้างข่ายสายส่งไฟฟ้าเชื่อมระหว่างสองประเทศด้วย.
.