เอเอฟพี - สหรัฐฯ สามารถช่วยเสริมสร้างศักยภาพกองทัพเรือของเวียดนาม หากสหรัฐฯ ยกเลิกข้อห้ามขายอาวุธอันตรายให้แก่เวียดนาม เจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงสุดของสหรัฐฯ ที่เดินทางเยือนเวียดนามในรอบหลายทศวรรษ เผยวันนี้ (16)
พล.อ.มาร์ติน อี เดมพ์ซีย์ ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมสหรัฐฯ กล่าวต่อผู้สื่อข่าวในนครโฮจิมินห์ ระหว่างการเยือนเวียดนามเป็นเวลา 4 วัน ที่ยังได้เข้าพบหารือกับเจ้าหน้าที่ททหารเพื่อเจรจาความร่วมมือทางทหารว่า ในระยะเวลาอันใกล้นี้จะมีการหารือในสหรัฐฯ เกี่ยวกับการยกเลิกคำสั่งห้ามดังกล่าว พร้อมประเด็นสิทธิมนุษยชน
“ขอบเขตทางทะเลเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ให้ความสนใจมากที่สุดในเวลานี้ และหากข้อห้ามถูกยกเลิกลง สหรัฐฯ ก็จะเริ่มจากสิ่งนั้น” พล.อ.เดมพ์ซีย์ กล่าว
การค้าระหว่างอดีตศัตรูสงครามสหรัฐฯ และเวียดนาม เพิ่มพูนมากขึ้นนับตั้งแต่สองประเทศฟื้นความสัมพันธ์สู่ระดับปกติในปี 2538 แต่ความร่วมมือทางทหารยังคงถูกจำกัดเนื่องจากสหรัฐฯ ห้ามขายอาวุธร้ายแรง
ฮานอย มีข้อขัดแย้งทางทะเลกับปักกิ่งเกี่ยวกับหมู่เกาะ และน่านน้ำพิพาทในทะเลจีนใต้
เมื่อเดือน พ.ค. ปักกิ่งได้เคลื่อนแท่นขุดเจาะน้ำมันเข้าไปในน่าน้ำที่ฮานอยอ้างสิทธิอธิปไตย ทำให้เกิดความรุนแรงต่อต้านจีนในเวียดนาม และนำมาซึ่งการปะทะกันรอบแท่นขุดเจาะดังกล่าว
ปักกิ่ง ได้ย้ายแท่นขุดเจาะน้ำมันออกในเดือน มิ.ย. โดยอ้างว่าภารกิจเสร็จสมบูรณ์แล้ว
เดมพ์ซีย์ ระบุว่า ไม่ได้ขอให้เวียดนามเลือกระหว่างการเป็นมิตรกับสหรัฐฯ หรือเป็นมิตรกับจีน เพราะสหรัฐฯ มีจุดยืนชัดเจนว่า ไม่เลือกข้างในข้อขัดแย้งดินแดน แต่สหรัฐฯ มีความห่วงใยต่อวิธีการแก้ปัญหา และเป็นที่น่าน่าเสียดายที่จีนไม่ยอมรับข้อเสนอยุติการกระทำที่เป็นการยั่วยุในน่านน้ำพิพาท
จีนอ้างสิทธิเกือบทั้งหมดของทะเลจีนใต้ แม้แต่น่านน้ำใกล้ชายฝั่งของประเทศเพื่อนบ้าน และเพิ่มความแข็งกร้าวในการอ้างสิทธิเหล่านั้น ขณะที่ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ บรูไน มาเลเซีย และไต้หวัน ต่างอ้างสิทธิบางส่วนในทะเลแห่งนี้เช่นกัน.