ซินหวา - พม่าได้ปฏิรูปคณะกรรมการการลงทุนของประเทศ อันเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามที่จะกระตุ้นเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติในประเทศให้มากขึ้น
คณะกรรมการการลงทุนพม่า ที่มีสมาชิกในคณะทั้งหมด 13 คน ได้ปรับเปลี่ยนการทำงานบางส่วน โดยแต่งตั้งรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ทำหน้าที่เป็นประธานคณะแทนรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง และให้รัฐมนตรีกระทรวงการโรงแรมและการท่องเที่ยว เป็นรองประธาน ขณะที่รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการวางแผนและพัฒนาเศรษฐกิจ ยังคงเป็นสมาชิกหลัก
คณะกรรมการการลงทุนนี้ถือเป็นองค์กรอิสระ ภายใต้กระทรวงวางแผนและพัฒนาเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับธนาคารแห่งชาติพม่า
จนถึงปัจจุบัน คณะกรรมการการลงทุนได้อนุมัติโครงการที่ลงทุนโดยเจ้าของกิจการท้องถิ่นเกือบ 30 โครงการ และโครงการที่ลงทุนโดยชาวต่างชาติอีก 60 โครงการ
รายงานสถิติของทางการระบุว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2557 ต่างชาติเข้าลงทุนในพม่า 2,210 ล้านดอลลาร์ เป็นการลงทุนในภาคการคมนาคมและการสื่อสารมากที่สุดที่ 1,340 ล้านดอลลาร์ รองลงมาคือ ภาคการผลิต ที่ 426.8 ล้านดอลลาร์ ภาคอสังหาริมทรัพย์ 267.8 ล้านดอลลาร์ ภาคการโรงแรมและการท่องเที่ยว 56.9 ล้านดอลลาร์ และภาคการทำเหมือง 28.69 ล้านดอลลาร์
หากนับตั้งแต่พม่าเปิดประเทศในปลายปี 2531 จนถึงเดือน เม.ย.2557 การลงทุนจากต่างชาติรวมทั้งหมดในพม่าอยู่ที่ 46,480 ล้านดอลลาร์
ในปีงบประมาณ 2556-2557 ที่สิ้นสุดลงในเดือน มี.ค. พม่าได้สัญญาการลงทุนจากต่างชาติมูลค่ารวม 4,107 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 1,400 ล้านดอลลาร์ในปีก่อน
การลงทุนจากต่างชาติจาก 34 ประเทศ และเขตแดน ส่วนใหญ่มุ่งไปที่การลงทุนในภาคการผลิต และบางส่วนในภาคพลังงาน น้ำมันและก๊าซ เหมือง โรงแรมและการท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ ปศุสัตว์และประมง และการเกษตร
จีนยังคงเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดของพม่า ด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 14,000 ล้านดอลลาร์ ในระหว่างปีงบประมาณ 2556-2557 รองลงมาคือ ไทย ที่มีการลงทุนมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ และฮ่องกง กว่า 6,000 ล้านดอลลาร์
พม่าประกาศใช้กฎหมายการลงทุนต่างชาติฉบับใหม่ ในเดือน พ.ย.2555 และคณะกรรมการชุดนี้ตั้งขึ้นในปี 2537
ในปีงบประมาณ 2556-2557 พม่า ทำรายได้จากการส่งออกก๊าซธรรมชาติ 3,207 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นแหล่งรายได้จากต่างชาติแหล่งใหญ่ที่สุดของประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม พม่ายังคงขาดดุลการค้าที่ 2,652 ล้านดอลลาร์ จากมูลค่าการส่งออกและนำเข้าที่ 11,108 ล้านดอลลาร์ และ 13,760 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับ.