.
ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ภาพหนุ่มสาวนั่งพลอดรักกันตามสวนสาธารณะแห่งต่างๆ ของกรุงฮานอย หรือในนครโฮจิมินห์ เป็นภาพที่ชินตาผู้คนมานานหลายทศวรรษ หนุ่มสาวใช้บริเวณใต้ต้นไม้ที่ให้ร่มเงาร่มรื่น ริมกำแพง ริมน้ำ หลายคนนั่งกันบนม้านั่งอย่างเปิดเผยในที่โล่งแจ้ง ท่ามกลางผู้คนเดินผ่านไปมา ในบางแห่งใช้สวนหย่อมเล็กๆ ริมถนนก็เพียงพอแล้วสำหรับการแสดงซึ่งความรัก และได้อยู่ใกล้ชิดกัน
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งซึ่งเป็นที่เข้าใจได้ก็คือ ครอบครัวชาวเวียดนามในยุคใหม่เปลี่ยนไปอย่างมาก พื้นที่ภายในบ้านเริ่มน้อยลงเมื่อมีสมาชิกเพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งไม่สามารถจะรับแขกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแขกสำคัญ..ซึ่งก็คือเพื่อนชายหรือเพื่อนหญิงของลูกๆ แหล่งสาธารณะที่พอจะหาได้ก็จึงเป็นทางออก และผู้ปกครองพึงพอใจ หรือจำใจจะต้องยอมรับ เพราะถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าเห็นเด็กๆ เหล่านั้นจูงมือกันเข้าโมเต็ล
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้เยาวชนจำนวนไม่น้อยเริ่มทำให้เห็นว่า สวนสาธารณะแห่งต่างๆ สามารถใช้แทนโรงแรมม่านรูดได้ และสังคมเริ่มไม่อาจจะอดทนกับภาพใหม่นี้
สื่อต่างๆ ในเวียดนามกล่าวว่า สิ่งที่เปลี่ยนไปนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ความง่าย” ของเด็กสาว เป็นวิถีการดำเนินชีวิตแบบโลกตะวันตก ที่เด็กๆ เยาวชนได้รู้ได้เห็นโดยเสพผ่านสื่อต่างๆ และเริ่มจะลืมขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมอันดีงามแห่งชนชาติ
หนังสือพิมพ์ออนไลน์ “เดิ๊ตเหวียด” (Báo Đất Việt) กล่าวว่า เรื่องนี้มีวิวัฒนาการของมัน โดยเริ่มจากหลายทศวรรษก่อน รุ่นพ่อรุ่นแม่ไม่สามารถที่จะใกล้ชิดกันได้มากขนาดนี้ สวนสาธารณะเป็นเพียงสถานที่นั่งมองตากัน ดื่ม หรือรับประทานของว่างด้วยกัน พูดคุยกันแล้วก็ปั่นจักรยานกลับบ้าน ต่างคนต่างกลับ คนในยุคหลังเริ่มพัฒนาสู่การจับมือถือแขน ต่อมา กลายเป็นโอบกอด ลูบคลำต่อหน้าธารกำนัลโดยไม่รู้สึกขัดเขิน
“ปัจจุบัน มันง่ายเสียจนขนาดว่าจอดมอเตอร์ไซค์ริมทางที่ไหนสักแห่ง และใช้อานเบาะเป็นเวทีพลอดรัก นั่งหันหน้าเข้าหากัน กอดกันกลมดิก ไม่มีใครเอาใจใส่ใคร มองดูแล้วก็เดินจากไป” นักเขียนคนหนึ่งของหนังสือพิมพ์ออนไลน์ภาษาเวียดนามกล่าว
วิวัฒนาการล่าสุดก็คือ มุมเงียบๆ ลับตาคนในสวนสาธารณะสักแห่งหนึ่ง หรือเพียงมีสุมทุมพุ่มไม้เตี้ยๆ ช่วยกำบังได้ถูกใช้เป็นต่างโรงแรมม่านรูด..ไม่มีผู้ใดเข้าขัดขวาง และยังดูเหตุการณ์ที่เกิดต่อหน้าเป็นอาหารตาเสียอีก หลายคนถ่ายคลิปเอาไว้เผื่อแผ่คนอื่นๆ”
“หรือสังคมเราจะยอมรับปล่อยให้เป็นไปได้ขนาดนั้น?” นักเขียนรายเดียวกันตั้งคำถาม
แท้จริงแล้วเหตุการณ์แบบนี้เป็นการกระทำอนาจารในที่สาธารณะตามกฎหมาย แต่ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดเข้าไปปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติ แม้แต่จะเข้าไปตักเตือนลูกหลานเยาวชนเหล่านั้น
เหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้เริ่มลามเข้าไปสู่โรงภาพยนตร์ที่เมื่อก่อนทางการเคยเข้มงวดกวดขันมิให้เป็นแหล่งมั่วสุม แต่ในปัจจุบัน โรงภาพยนตร์ที่ขาดความรับผิดชอบหลายแห่งถูกใช้เป็นโมเต็ลเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแหล่งที่ลักลอบฉายภาพยนตร์ที่มีฉากรักครึกโครมโจ่งครึ่มต่างๆ เป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ
“ผู้ใหญ่บางคนที่ตั้งใจจะเข้าไปดูหนังพวกนี้ ก็จะต้องแปลกใจที่ได้ดูสองเรื่องไปพร้อมๆ กัน ทั้งหนังบนจอ และหนังสดที่อยู่ต่อหน้า ท่ามกลางเสียงกระซิกกับเสียงครวญครางไม่ต่างกับฉากรักในหนัง” นักเขียนของสื่อออนไลน์กล่าว
.
2
.
การกระทำของเยาวชนลูกหลานในปัจจุบันไม่ต่างกับการบุกยึดเอาที่สาธารณะไปเป็นที่ส่วนตัว โดยสร้างวัฒนธรรมของตัวเองขึ้นมา
จากการโอบกอดอันอุ่น และซาบซึ้ง นำไปสู่การโลมไล้ หลังจากนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดำเนินต่อไปเป็นลูกโซ่ และเกือบจะร้อยทั้งร้อยจะไปลงเอยกันด้วยฉากบนเตียงในที่สุด และกลายเป็นเลิฟซีนที่แสนจะธรรมดาสำหรับสังคมทุกวันนี้
นักวิชาการสังคมจำนวนไม่น้อยก็เริ่มปลงๆ กับเหตุการณ์แบบนี้ และมองว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงกระแสสังคมที่ไม่อาจจะหยุดยั้งได้ในยุคที่เวียดนามเปิดประตูกว้างรับเอาทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไป พร้อมกับการปฏิรูปเศรษฐกิจโดยปราศจากการจำแนก
“แปลกใจอะไรหรือ?” นักเขียนของสื่อออนไลน์ อ้างคำพูดนักวิชาการอาวุโสคนหนึ่งแห่งมหาวิทยาลัยห่มง์บ่างในกรุงฮานอย ตั้งคำถามก่อนให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้
การจับต้องกายเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่ง คนที่รักใคร่ชอบพอกันจึงประพฤติปฏิบัติเช่นนี้ได้ มันเป็นการแสดงออกถึงความรัก มันอาจจะแค่นั่งดื่มนั่งกินด้วยกันแล้วจบลงไปอีกวันหนึ่ง หรือมันอาจจะมากกว่านั้นก็เป็นเรื่องปกติ
“ใครที่ไปเห็นแล้วรู้สึกไม่ชอบ ยอมรับไม่ได้ ก็ควรจะเบือนหน้าหนี หรือเดินให้ห่างไป มันเป็นสิทธิของเยาวชนที่ส่วนใหญ่รู้ผิดชอบชั่วดี เพียงแต่พวกเขาต้องการแสดงออก” นักวิชาการที่ไม่ประสงค์จะให้ระบุชื่อกล่าว
แท้จริงแล้ว ความเห็นของนักวิชาการผู้นี้อยู่ในกระแสการคิดการอ่านของคนหนุ่มสาวเวียดนามอีกจำนวนไม่น้อย คนเหล่านั้นได้ออกปกป้องสิทธิของตนที่จะแสดงออกเกี่ยวกับความรัก
ผู้ใหญ่ทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง GDVN เวียดนาม
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
.
16
.
“การแสดงออกอารมณ์ความรู้สึกจำเป็นจะต้องไปทำกันในโรงแรมด้วยหรือ? ไม่ใช่ทุกคนจะทำเช่นนั้นได้ ความรักไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ จะหยุดยั้งห้ามปราม มันเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ผู้ใหญ่ต่างหากที่ยังติดอยู่กับความทรงจำเก่าๆ ตั้งแต่ศตวรรษก่อน” ผู้ที่เรียกตัวเองเป็นคนรุ่นใหม่เขียนความเห็นต่างในเว็บไซต์ “เดิ๊ตเหวียด”
“พ่อแม่ผู้ปกครองกำหนดให้ลูกต้องทำตามใจ กินสิ่งที่ทำให้กิน กินเป็นเวลา ไปโรงเรียนตามเวลา ให้หอบหิ้วกระเป๋าหนักๆ ไป และให้กลับบ้านตรงเวลาทุกวัน .. ชีวิตของพวกหนูมีเพียงเท่านี้หรือ พวกหนูอายุ 18 แล้ว มีความรัก มีความรู้สึก ซึ่งมันก็เป็นธรรมชาติ เป็นความศิวิไลซ์อย่างหนึ่ง พวกหนูอยากจะเรียนมากกว่านั้น พวกหนูต่างจากสัตว์ทั่วไป ไม่อยากเป็นสัตว์เลี้ยงอีกตัวหนึ่งของคุณพ่อคุณแม่” ผู้ที่ระบุตัวเองเป็นสาว ม.ปลายคนหนึ่งเขียนลงในที่เดียวกัน
แต่ก็คงไม่ได้ง่ายขนาดนั้นไปทั้งหมด
หลายปีมานี้ เริ่มมีการนำคลิปเหตุการณ์ใน “สวนสวรรค์” ออกเผยแพร่มากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน สาธารณชนก็เริ่มเป็นเดือดเป็นแค้นมากขึ้นเช่นกัน ชาวบล็อกจำนวนไม่น้อยก็หมดทน และออกเคลื่อนไหวต่อต้านการรุกคืบแบบขาดสติของเยาวชนซึ่งไม่ใช่ทั้งหมด ผู้อ่านหนังสือพิมพ์ และเว็บไซต์ต่างๆ แสดงออกด้วยการเข้าไปแสดงความเห็น เขียนจดหมายถึงบรรณาธิการ ต่อต้านการเผยแพร่คลิปแอบถ่ายทั้งหลาย
นักวิชาการด้านจิตวิทยาสังคมผู้หนึ่งกล่าวว่า การแสดงออกของเยาวชนหนุ่มสาวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติแห่งวัย ไม่อาจจะห้ามปรามได้ และไม่ควรจะปิดกั้น สิ่งที่ควรกระทำก็คือ เปิดกว้างให้บุตรหลานแสวงหาความรู้ในเรื่องความรักกับความสัมพันธ์ระหว่างเพศให้มากๆ พร้อมกับให้ความรู้ความเข้าใจแก่บุตรหลาน ให้ตระหนักถึงสิ่งที่ควรและไม่ควร ชี้ให้เห็นคุณค่าของการรักนวลสงวนตัว ที่มักจะได้พบแต่สิ่งดีๆ เสมอไป
“เรื่องนี้จะต้องแก้กันจากครอบครัวซึ่งเป็นพื้นฐานของสังคม หากครอบครัวล้มเหลว สังคมเองก็เสี่ยงต่อการล้มเหลวเช่นกัน” นักวิชาการผู้หนึ่งลงความเห็น
การปะทะกันในเรื่องนี้ยังดำเนินต่อไป ทั้งในแง่จิตวิทยาสังคม การครองรักครองเรือน และในประเด็นศีลธรรมสังคม และกฎหมาย สามารถเขียนให้ยาวกว่านี้ได้อีกหลายเท่า ตราบใดที่ “ภาพบาดตา” พ่อแม่ผู้ปกครองยังคงมีให้เห็นอยู่ต่อไปตามสวนสาธารณะแห่งต่างๆ.