ASTVผู้จัดการออนไลน์-- ปีนี้พม่าอาจจะส่งออกข้าวได้ถึง 750,000 ตันหรือกว่านั้น การประกาศเรื่องนี้มีขึ้นขณะผู้ค้าข้าวในประเทศไทยเป็นกังวลต่อนโยบายรัฐบาลใหม่ และลูกค้ากำลังหันไปหาข้าวเวียดนามโดยวิตกว่า ราคาข้าวในตลาดโลกในช่วงปลายปีจะถีบตัวสูงขึ้น
ปริมาณข้าวส่งออกของพม่าไม่มาก หากเทียบกับลอตใหญ่ 600,000 ตันที่ไทยขายให้แก่อินโดนีเซียเมื่อต้นปีนี้ แต่ก็มากพอซ้ำเติมตลาดข้าวโดยรวม ขณะที่เดียวกันก็กำลังจะเจอคู่แข่งอย่างรอบด้าน
ปีงบประมาณ 2553-2554 (สิ้นสุด มี.ค.) พม่าส่งออกข้าว 500,000 ตัน ทำเงินได้ 185 ล้านดอลลาร์ จาก 400,000 เศษในปีก่อน แต่ลดลงอย่างมากจาก 900,000 ตันในปีงบประมาณ 2552-2553 ซึ่งทำเงินได้ 280 ล้านดอลลาร์
ทั้งหมดนี้เป็นตัวเลขอย่างเป็นทางการของสมาคมอุตสาหกรรมข้าวแห่งพม่า (Myanmar Rice Industry Association) แต่เชื่อกันว่าส่งออกจริงจะมากกว่านี้ เนื่องจากยังมีการค้าข้ามแดนที่มิได้มีการบันทึกหรือไม่ผ่านระบบอีกมาก
“การส่งออกปี 2552-2553 นับว่ามากที่สุดในรอบทศวรรษ.. คงเป็นไปไม่ได้ที่จะส่งออกได้มากมายขนาดนั้นในปีนี้ แต่สมาคมของเรากำลังทำงานเพื่อสนับสนุนชาวนาซื้อปุ๋ยและช่วยในเรื่องเทคนิคใหม่ๆ ในการปลูกข้าว” นายชิตไค (U Chit Khine) ประธานสมาคมฯ กล่าวกับนิตยสารข้าวเมียนมาร์ไทมส์
รัฐบาลใหม่ของไทยประกาศชูราคาข้าวในประเทศให้สูงและยังไม่มีรายละเอียดในเชิงปฏิบัติออกมา ซึ่งได้ทำให้ประเทศผู้นำ หันไปหาข้าวเวียดนามคู่แข่งสำคัญของข้าวไทย
ขณะเดียวกันรัฐบาลพม่าประกาศในต้นเดือน ก.ค. ลดภาษีส่งออกจาก 10% เหลือเพียง 7 โดยมีผลในทันที ซึ่งสมาคมฯ กล่าวว่าจะทำให้สามารถส่งออกได้มากขึ้น ผู้ส่งออกจะได้กำไรเพิ่มขึ้นและซื้อข้าวจากชาวนาในราคาที่สูงขึ้นด้วย
.
.
การปรับลดภาษีส่งออกมีขึ้น หลังจากค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงเกือบ 10% ในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย.ปีนี้เทียบกับเงินจ๊าตที่แข็งค่าขึ้นทำสถิติ 750 จ๊าตต่อดอลลาร์ในเดือน มิ.ย.
อัตราแลกเปลี่ยน ขึ้นและลงอยู่ในระดับ 785 จ๊าตต่อดอลลาร์ตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค. แต่ยังสูงมากหากเทียบกับ 800-900 จ๊าตต่อดอลลาร์ ปลายปีที่แล้ว
การส่งออกข้าวของพม่ายังมีข้อจำกัดหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ระบบขนส่งที่ล้าหลัง และ รัฐบาลอนุญาตให้ส่งออกได้ในบางพื้นที่เท่านั้น
หน่วยงานของทางการตรวจสตอกข้าวอย่างระมัดระวังเพื่อมิให้ขาดแคลนขึ้นในเขตหรือรัฐต่างๆ ซึ่งจะต้องส่งข้าวจากเขตปกครองหรือรัฐอื่นๆไปช่วย
ข้าวพม่ามีขุดแข็งในด้านราคา ข้าวผสมเมล็ดหัก 25% หรือข้าวเอะเมธา (Ehmeta) ราคา 390-400 ดอลลาร์ต่อตัน (เอฟโอบี) เมื่อเดือนที่แล้ว แม้จะแพงกว่าช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว 20 ดอลลาร์ต่อตัน แต่ก็ยังต่ำกว่าข้าวเวียดนามตันละ 25-30 ดอลลาร์ และข้าวไทยเกรดเดียวกันซึ่งขายในราคา 506 ดอลลาร์ต่อตัน
ปีนี้สมาคมผู้ส่งออกข้าวแห่งประเทศไทยตั้งเป้าส่งออก 10 ล้านตัน และครึ่งแรกของปีส่งได้แล้วกว่า 6 ล้านตัน แต่ปีหน้าข้าวจะมีราคาแพงจนไม่สามารถแข่งขันได้ อาจจะส่งออกได้เพียง 5 ล้านตัน สูญรายได้ 60-70 ล้านดอลลาร์
ถ้าหากรับซื้อจากชาวนา (เกวียน) ตันละ 15,000 บาทสำหรับข้าวทั่วไป และ 20,000 บาทต่อตันสำหรับข้าวหอมมะลิ นโยบายรัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็จะทำให้ราคาข้าวหอมมะลิราคาพุ่งขึ้นเป็น 1,400 ดอลลาร์ต่อตัน สมาคมผู้ค้าข้าวกล่าว
.
.
ฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นประเทศนำเข้าข้าวอันดับ 1 และเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเวียดนามมาตลอด ได้ประกาศจะเจรจาราคาเพื่อซื้อข้าวไทยในปีนี้ แต่ได้หันกลับไปหาข้าวเวียดนามอีกครั้งหนึ่งและมีแผนจะเซ็นซื้อลอตใหญ่ในปลายปี เพื่อส่งมอบเดือน มี.ค.ปีหน้า สื่อของทางการรายงานก่อนหน้านี้
ในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้เวียดนามส่งมอบข้าวให้ลูกค้า 4.62 ล้านตัน มูลค่า 2,180 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสถิติใหม่ เพิ่มขึ้น 16.72% ในเชิงปริมาณ และ 26.0% ทางด้านมูลค่า ระยะเดียวกันนี้ เวียดนามได้เซ็นสัญญาจำหน่ายไปแล้ว 6.18 ล้านตัน เตรียมส่งมอบในเดือนข้างหน้า
ปีที่แล้วเวียดนามส่งออกข้าวทั้งหมด 6.8 ล้านตัน ทำเงินได้ 3,200 ล้านดอลลาร์ เป็นสถิติใหม่ ปีนี้คาดว่าจะส่งออกได้ถึง 7 ล้านหรือกว่านั้นซึ่งจะเป็นประวัติกาลใหม่
ปีข้างหน้าข้าวไทยยังต้องเผชิญกับข้าวราคาถูกจากกัมพูชา ซึ่งรัฐบาลจะประเดิมส่งออก 1 ล้านตันให้ได้ในปี 255 นี้ และเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า ในกัมพูชามีข้าวหอมดอกลำดวน และ ข้าวดอกมะลิ โดยรับเมล็ดพันธุ์ไปจากกระเทศไทย
ขณะเดียวกันรัฐบาลลาวได้ประกาศแผนการ 5 ปี ขยายเนื้อที่การทำนา ให้มีข้าวเพียงพอบริโภคสำหรับประชากร 6 ล้านคน และมีเหลือส่งออกอีกไปละ 1 ล้านตันขึ้นไปอีกด้วย.
.
