ASTVผู้จัดการรายวัน -- รัฐบาลกัมพูชายังไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ต่อเสียงวิจารณ์และเสียงเรียกร้องของทางการเวียดนาม ที่ให้ต้องปกปักรักษาหลักหมุดปักปันเขตแดน ที่ถูกถอนออกไปในวันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่นายสม รังสี ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า ตนเองอยากจะให้รัฐบาลของสมเด็จฯ ฮุนเซน ฟ้องร้องกรณีนี้ เพื่อที่จะได้นำไปสู่การเปิดประชุมภาคีสนธิสัญญากรุงปารีส ซึ่ง 18 ประเทศได้ร่วมกันลงนามในเดือน ต.ค.2534
หัวหน้าพรรคสม รังสี ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน กล่าวว่า ได้รับทราบจากผู้แทนของพรรคในสภาท้องถิ่น ทางการ จ.สวายเรียง (Svay Rieng) กำลังดำเนินการเพื่อฟ้องร้องตนต่อศาล ในความผิดฐาน “ทำลายสมบัติของสาธารณะ”
นายรังสี ให้สัมภาษณ์สถานีวิทยุเอเชียเสรี (Radio Free Asia) ภาคภาษาเขมรอีกครั้งหนึ่งวันพุธ (3 พ.ย.) ที่ผ่านมา จากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส หลังเดินทางไปร่วมประชุมระหว่างประเทศ ในอียิปต์
ประธานพรรคสม รังสี ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน กล่าวว่า ทางการอำเภอจันเตรีย (Chantrea) กำลังดำเนินการเรื่องนี้ในระดับจังหวัด แต่ตนเองขอท้าให้รัฐบาลสมเด็จฯ ฮุนเซน ฟ้องร้องเอง เนื่องจากปัญหานี้เป็นปัญหาระดับชาติ และตนจะขอให้ภาคีสนธิสัญญาสันติภาพกรุงปารีส ปี 2534 เปิดประชุมเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ เนื่องจากทั้ง 18 ประเทศ มีพันธะที่จะต้องช่วยเหลือกัมพูชาในการปกปักรักษาน่านน้ำและดินแดนภายใต้สนธิสัญญาดังกล่าว
นายรังสี กล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ปักปันเขตแดนเวียดนาม ได้ปักหลักหมุดเขตแดนชั่วคราวล่วงล้ำเข้าไปในที่นาของราษฎรชาวเขมร ในท้องที่ อ.จันเตรีย พรรคสม รังสี ได้รับร้องเรียนจากราษฎรเกี่ยวกับการสูญเสียที่ทำกินจึงได้ไปยังที่เกิดเหตุ จากนั้นจึงได้ถอนหลักหมุดจำนวน 6 หลัก ในที่นาของราษฎรแล้วขว้างทิ้งไป
เหตุเกิดวันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา หลังจาก นายรังสี นำกฐินไปทอดที่วัดองค์รุมแด็ญ (Ang Romdenh) ในท้องที่ อ.จันเตรีย วัดดังกล่าวตั้งอยู่ห่างจากแนวเส้นเขตแดนเวียดนามเพียง 200-300 เมตร
“ผมไม่กลัวถ้าหากรัฐบาลเวียดนามจะฟ้องผม ขอให้พวกเขาฟ้องเลย หรือถ้าหากรัฐบาลในกรุงพนมเปญขณะนี้จะฟ้อง ก็ให้เขาทำไป แต่ผมจะฟ้องร้องต่อศาลระหว่างประเทศ เพื่อให้ประชาคมระหว่างประเทศช่วยพิทักษ์ปกป้องดินแดนของกัมพูชา ผมอยากจะให้เปิดการประชุมระหว่างประเทศขึ้นตามสนธิสัญญาสันติภาพกรุงปารีส ปี 2534 ผมจะขอให้ภาคีสัญญา 18 ชาติเปิดประชุม ประเทศเหล่านั้นมีพันธะตามสัญญา จะช่วยกัมพูชาปกป้องเขตแดน ขณะนี้ดินแดนกัมพูชากำลัง ถูกรุกล้ำ เรามีข้อพิสูจน์ที่เพียงพอในเรื่องนี้...” วิทยุเอเชียเสรีอ้างคำกล่าวของผู้นำฝ่ายค้าน
“พวกเขากำลังฟ้องผมทางอาญา ซึ่งเป็นเรื่องที่รุนแรง พวกเขากล่าหาว่าผมทำลายสมบัติสาธารณะ”
นายรังสี กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันที่ 25 พ.ย.ว่า โดยปกติทั่วไปไม่ว่าจะไปที่ใด ราษฎรท้องถิ่นต่างๆ จะร้องเรียนแต่เรื่องการดำรงชีพ พูดถึงเรื่องความยากจน ความลำบากต่างๆ แต่ราษฎรที่นั่นร้องเรียนในเรื่องเดียว คือ เจ้าหน้าที่เวียดนามปักหลักเขตแดนล่วงล้ำเข้าไปยังที่นาของพวกเขา ในนามคณะกรรมการปักปันเขตแดน
“คนเหล่านี้เป็นใคร? เจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ร่วมกันเป็นคณะกรรมการปักปันเขตแดนจะมีฝ่ายเวียดนามอยู่ 10 คน กับฝ่ายกัมพูชาอีก 1คน ก่อนจะปักหมุดพวกเขาเข้ามาสำรวจก่อน ชาวบ้านที่นั่นบอกว่าจะมาสำรวจได้อย่างไร มันเป็นผืนนาที่เขากำลังปลูกข้าว ท้องนาเป็นเขตแดนของกัมพูชา พวกเขาทำนากันที่นั่นมา 10-30 ปี ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งวันหนึ่ง สองสามเดือนก่อน ที่คณะกรรมการร่วมญวน-เขมรเข้าไป...” นายรังสี กล่าว
ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวต่อไปว่า ชาวบ้านที่นั่นโกรธแค้นและเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียที่นา ร้องเรียนเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ทหาร ตำรวจไม่มีใครช่วย เขาร้องเรียน ส.ส.ของเราให้เราช่วย
นายรังสี กล่าวอีกว่า ในอดีตชาวบ้านเคยถอนหมุดปักเขตแดนทิ้งไปหลายต้น เจ้าหน้าที่จังหวัดขู่ว่า หากถอนอีกจะดำเนินคดี วันนั้นตนเองก็เลยขอรับผิดชอบ จะต้องถอนหลักหมุดเหล่านั้นออกไป เพื่อให้ชาวบ้านที่นั่นได้ทำนา และดำเนินชีวิตอย่างเป็นปกติต่อไปได้
ต่อมาวันที่ 30 ต.ค.นางเหวียนเฟืองงา (Nguyen Phuong Nga) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม ได้ออกแถลงประณามการกระทำของนายรังสี อย่างรุนแรง โดยกล่าวหาว่าเป็นการยั่วยุ กระทำการขัดต่อกฎหมายเวียดนามและกฎหมายกัมพูชา ขัดต่อสนธิสัญญาสองฝ่าย ต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และจงใจสร้างความเกลียดชังต่อชาวเวียดนาม
โฆษกเวียดนาม ยังเรียกร้องให้รัฐบาลสมเด็จฯ ฮุนเซน ต้องพิทักษ์ปกป้องหลักหมุดเขตแดน และ ป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก
ตามรายงานของสำนักข่าวเวียดนาม (VNA) นายกรัฐมนตรีนายเหวียนเติ๋นยวุ๋ง (Nguyen Tan Dung) ได้กำชับเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่งในกรุงฮานอย วันพุธที่ผ่านมา ระหว่างต้อนรับ นางแมน ซัม อาน (Men Sam An) รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีกระทรวงกิจการสตรีของกัมพูชา ที่ไปเยือน
เหตุการณ์ผ่านมาหลายวัน รัฐบาลสมเด็จฯ ฮุนเซน ยังไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ ต่อการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ อย่างตรงไปตรงมาของฝ่ายเวียดนาม และ สื่อต่างๆ ในกรุงพนมเปญก็ไม่ได้รายงานเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้