ASTVผู้จัดการรายวัน--- นายกรัฐมนตรีเวียดนาม เหวียนเติ๋นยวุ๋ง (Nguyen Tan Dung) ได้ออกคำสั่งสัปดาห์ที่แล้วให้สอบสวนทางวินัยประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินเวียดนามฐานมีบุตรเกิน 2 คนตามกฎหมายกำหนด ซึ่งถือเป็นการกระทำผิดร้ายแรงในหมู่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ ขณะที่รัฐบาลกำลังพยายามอย่างหนักลดในการควบคุมจำนวนประชากร ซึ่งยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
นายฝั่มหง็อกมีง (Pham Ngoc Minh) ซีอีโอของเวียดนามแอร์ไลนส์ มีบุตรอีกคนหนึ่งกับภรรยาคนที่ 2 ซึ่งนับเป็นบุตรคนที่ 2 ก่อนหน้านั้นมีบัตรแล้วคนหนึ่งกับภรรยาคนเก่า นายเหวียนสีหุ่ง (Nguyen Sy Hung) ประธานของสายการบินเปิดเผยเรื่องนี้กับสำนักข่าวทางการเวียดนามวีเอ็นเอ (Vietnam News Agency)
คำสั่งให้สอบวินัยนายมีงเผยแพร่บนเว็บไซต์ของพรรคคอมมิวนิสต์ในวันพุธ (2 ก.ค.) โดยไม่ได้กล่าวถึงสาเหตุการกระทำความผิดใดๆ ซึ่งได้ทำให้เกิดความสงสัยขึ้นทั่วไป หลายคนคิดว่าอาจจะเกี่ยวพันกับการทุจริตจัดซื้อเครื่องบินของบริษัทสายการบินแห่งชาติ ซึ่งยังไม่เคยปรากฏมีเรื่องเช่นนี้มาก่อน
ในเวียดนามถือเป็นกฎเหล็ก ครอบครัวที่มี่บุตรคนที่สามจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางสังคม และถ้าหากเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐจะถูกสอบสวนทางวินัย ซึ่งอาจจะมีโทษถึงการถูกปลดออกจากตำแหน่ง และ หากเป็นเจ้าหน้าที่ของพรรคคอมมิวนิสต์ก็จะถูกไล่ออกจากพรรค หากการสอบสวนพบว่ามีความผิดจริง
กรณีของนายหง็อกมีงถือเป็นการละเมิดต่อมติที่ 94 ของคณะกรรมการกรมการเมืองซึ่งเป็นองค์กรบริหารสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์ และ ยังเป็นการกระทำที่ขัดต่อข้อแนะนำที่ 11 ของคณะกรรมการตรวจตรา คณะกรรมการกลางพรรค ซึ่งถ้าหากบุตรที่สอง ที่เกิดกับภรรยาคนใหม่นี้เกิดก่อนวันที่ 22 มี.ค.2548 หรือ ก่อนจะมีมติในเรื่องนี้ของกรมการเมืองออกมาก็จะไม่ถือว่ามีความผิด
ประธานคณะกรรมการบริหารของเวียดนามแอร์ไลนส์กล่าวว่า คณะกรรมการฯ มีหน้าที่จะต้องรายงานข้อเท็จจริงเรื่องนี้ไปยังรัฐบาล ขณะเดียวกันคณะกรรมการชุดหนึ่งของกระทรวงกิจการภายใน (Ministry of Home Affairs) ที่ได้ตรวจพบข้อสงสัยก็ได้รายงานถึงนายกรัฐมนตรีเช่นเดียวกัน
นายมีงมีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเป็นสมาชิกระดับสูงของพรรค แ ละถ้าหากการสอบสวนปรากฏว่าได้กระทำความผิดจริง จะไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ นอกจากจะต้องถูกให้พ้นจากตำแหน่งหน้าที่ในปัจจุบัน รวมทั้งถูกขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์
สำนักนายกรัฐมนตรีเวียดนามได้ออกคำแถลงฉบับหนึ่งในวันพฤหัสบดี (2 มิ.ย.) อธิบายการกล่าวหาของทางการและขั้นตอนการดำเนินการต่อไป ทั้งระบุว่า นายกรัฐมนตรีลงนามในคำสั่งฉบับดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย. และ มีผลในทันที
นายมีงเข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ ซึ่งเป็นซีอีโอของบริษัทสายการบินแห่งชาติในปลายปี 2550 แทนที่นายหุ่งซึ่งได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นประธานบอร์ด ก่อนหน้านั้นนายมีงอยู่ในตำแหน่งรองผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการพาณิชย์ของเวียดนามแอร์ไลนส์มาเป็นเวลาหลายปี
ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เตื๋อยแจ๋ (Tuoi Tre) นายหง็อกมีงเพิ่งจะมีบุตรคนที่ 2 กับภรรยาคนใหม่ หลังจากเพิ่งจะมีบุตรคนแรกกับภรรยาคนแรกได้ไม่นาน ซึ่งถ้าหากข้อเท็จจริงเป็นเช่นนั้น สถานการณ์ก็จะทวีความซับซ้อนยิ่งขึ้น บิ๊กบอสสายการบินแห่งชาติจะต้องถูกดำเนินคดีกระทำความผิดฐานชู้สาว เนื่องจากกฎหมายไม่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐและพรรคคอมมิวนิสต์มีภรรยาเกิน 1 คน
ถ้าหากพบว่ากระทำผิด นายมีงอาจมีโทษถึงจำคุกอีกด้วย
เมื่อปี 2531 พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามเคยเล่นงานทางวินัย นายเจิ่นซวนแบ๊ก (Tran Xuan Bach) กรรมการกรมการเมืองคนหนึ่งของพรรค หลังจากคณะกรรมการตรวจตรา ของคณะกรรมการกลางพรรคพบว่า มีภรรยาน้อยและซื้อบ้านให้อยู่เป็นหลักเป็นฐาน ซึ่งถือเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง
กรมการเมืองผู้นี้ถูกขับไล่ออกจากพรรค งดเบี้ยบำนาญและผลประโยชน์ทุกชนิด
อย่างไรก็ตามกรณีที่พนักงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคมีบุตรเกินสองคนและถูกลงโทษทางวินัยไม่ปรากฏเป็นข้าวบ่อยนัก ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า เป็นผู้บริหารของสายการบินแห่งชาติ กรณีของนายมีงจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่โตที่สื่อให้ความสนใจ
ยังไม่คำอธิบายมากกว่านี้จากบอร์ดการบินเวียดนาม และ ยังไม่มีการตอบโต้จากเจ้าตัวหรือสมาชิกในครอบครัว
เมื่อเดือนที่แล้วซีอีโอของเวียดนามแอร์ไลนส์ได้ไปร่วมงานนิทรรศการอากาศยานปารีสแอร์โชว์ ที่เมืองเลอบูเฌ (Le Bourget) ชานกรุงปารีส และ ได้เป็นตัวแทนสายการบินแห่งชาติเซ็นบันทึกซื้อเครื่องบินแอร์บัส A321 เพิ่มอีก 16 ลำ กับ A350-900XWB อีก 2 ลำ
ปัจจุบันเวียดนามมีประชากรเกือบ 87 ล้านคน และยังมีเด็กเกิดใหม่ต่อปีสูงกว่า 1 ล้านคน ในขณะที่สถิติได้พบว่า กว่าครึ่งหนึ่งของประชากรยังอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ และถ้าอัตราเพิ่มของประชากรยังสูงในระดับนี้ภายในปี 2558 จำนวนประชากรอาจจะถึง 100 ล้านคน และ เป็น 130-150 ล้านคนในปี 2563
ปัญหาสำคัญพร้อมกับปัญหาประชากรล้นประเทศก็คือ ความไม่สมดุลระหว่างเพศหญิงกับเพศชาย อยู่ในอัตราสูงมาก ซึ่งหากไม่สามารถแก้ไขอีกหลายปีข้างหน้าได้ ก็จะมีพลเมืองเพศชายจำนวนนับล้านๆ ที่ต้องใช้ชีวิตเหงาๆ อยู่คนเดียว เนื่องจากไม่มีคู่สมรส
ในการให้สัมภาษณ์เดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายเหวียนบาถวี (Nguyen Ba Thuy) กล่าวว่า ปี 2551 เป็น "ปียากลำบากที่สุด" สำหรับแขนงงานวางแผนครอบครัวแห่งชาติ ตัวเลขต่างๆ ไม่เป็นไปตามเป้าที่กำหนด
ปัจจุบันจำนวนครอบครัวที่มีลูกมากกว่า 2 คน นับวันมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้รัฐบาลจะได้รณรงค์ "นโยบายลูกสอง" มากมายเพียงไรก็ตาม
นอกจากนั้นปัญหาความไม่สมดุลระหว่างเพศก็กำลังรุนแรงมากขึ้นทุกปี โดยอัตราการเกิดของทารกเพศชายสูงกว่าทารกเพศหญิง 112 ต่อ 100 คน ในปี 2550 เทียบกับอัตรา 107 ต่อ 100 คนเมื่อปี 2542 ซึ่งความแตกต่างขยายออกไปกว้างมาก.