ASTVผู้จัดการรายวัน/เอเอฟพี—ผู้นำทางธุรกิจจากสหรัฐฯ กล่าวในกรุงฮานอยเมื่อวันพุธ (13 พ.ค.) ว่า สหรัฐฯ กำลังอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องในการทะยานขึ้นเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม หลังจากสงครามระหว่างสองประเทศสิ้นสุดลงกว่า 30 ปี ในขณะที่ 4 เดือนแรกของปีนี้นักลงทุนจากสหรัฐฯ เข้าไปลงทุนในประเทศนี้มากที่สุด
"ผมขอพนันด้วยความยินดี..ว่าภายในเวลาไม่เกิน 3 ปีข้างหน้านี้ หรืออาจจะเร็วกว่านั้นอีกเยอะเลย สหรัฐฯ จะเป็นนักลงทุนโดยตรงรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม"
นายแมทธิว ดาลีย์ (Matthew Daly) ประธานสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน (US-ASEAN Business Council) ให้สัมภาษณ์ในกรุงฮานอยวันเดียวกัน
"ผมคิดว่าแนวโน้มนี้ชัดเจน" สำนักข่าวเอเอฟพีอ้างคำกล่าวของผู้นำทางธุรกิจจากสหรัฐฯ ซึ่งได้ชี้ให้เห็นว่าไตรมาสแรกของปีนี้ เวียดนามได้อนุมัติโครงการ FDI ที่มีเงินทุนจดทะเบียนราว 6,000 ล้านดอลลาร์นั้นกว่าครึ่งหนึ่ง หรือ 3,860 ล้านดอลลาร์ไปจากบริษัทของสหรัฐฯ
สภาธุรกิจฯ ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในกรุงวอชิงตันดีซี เป็นตัวแทนของบริษัทใหญ่น้อยกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ มีผู้แทนจาก 15 บริษัทธุรกิจขนดาใหญ่ติดตามคณะของนายดาลีย์ออกตระเวนเยือนอาเซียนเป็นเวลา 3 วันซึ่งเริ่มเมื่อวันพุธนี้ในเวียดนาม เพื่อแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ เอเอฟพีกล่าว
สหรัฐฯกับเวียดนามเพิ่งสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อปี 2535 หลังสงครามผ่านไปแล้วถึง 17 ปี และเพิ่งจะทำความตกลงการค้าระหว่างกันในปี 2544
นายดาลีย์กล่าวว่าในปัจจุบันสหรัฐฯ เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่อันดับที่ 6 หรือ 10 ในเวียดนาม ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้ตัวเลขใดในการอ้างอิง
"ผลประโยชน์ของชาวอเมริกันเท่าที่เห็นจากการลงทุนในเวียดนามนั้นกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว" นายดาลีย์กล่าว
ในขณะเดียวกันรายงานขององค์การประชุมเพื่อการค้าและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติหรือ UNCTAD ได้ระบุในรายงานสภาพการลงทุนของโลกในสัปดาห์นี้ว่า ปี 2551 ที่ผ่านมาเวียดนามนำหน้าชาติอื่นๆ ในทวีปเอเชียในเรื่องการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหรือ FDI (Foreign Direct Investment) โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัวจาก 20,300 ล้านเมื่อปีก่อน เป็น 64,000 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่เวียดนามกล่าวเมื่อปี 2549 ว่า ถ้าหากนับรวมการลงทุนโดยผ่านประเทศที่สามแล้ว บริษัทสัญชาติสหรัฐฯ เป็นผู้ลงทุนมากที่สุดในเวียดนามตั้งแต่ปีนั้น
ตัวเลขอย่างเป็นทางการของเวียดนามก็ชี้ชัดว่า ระหว่างเดือน ม.ค.-เม.ย.2552 นี้ ในท่ามกลางวิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลกและวิกฤติการทางการเงินในสหรัฐฯ เอง บริษัทจากสหรัฐฯ 2 แห่งได้เข้าลงทุนในเวียดนามคิดเป็นเงินทุนถึง 3,800 ล้านดอลลาร์
กลุ่มบริษัทวินเวสต์ (Winvest LLC) ได้เข้าเพิ่มทุนเข้าในโครงการโรงแรมไซ่ง่อนแอตแลนติส (Saigon Atlantis Hotel) จาก 300 ล้านเป็น 4,100 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 11 เท่าตัว และ โครงการที่สองจากสหรัฐฯ มีเงินทุนจดทะเบียนอีก 1,600 ล้านดอลลาร์
ผู้ลงทุนใหญ่อันดับ 3 ในเวียดนามช่วงเดียวกันนี้เป็นนักลงทุนจากเกาหลี ด้วยเงินทุนจดทะเบียน 969 ล้านดอลลาร์และอันดับ 4 จากฮ่องกง 531 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้เป็นรายงานของสถานีวิทยุเวียดนาม
เกาหลีได้ครองแชมป์นักลงทุนเบอร์หนึ่งในเวียดนามในช่วง 2 ปีมานี้ ด้วยเงินทุนจดทะเบียนกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์
ตามตัวเลขของกระทรวงวางแผนและการลงทุน หรือ MPI (Ministry of Planning and Investment) ใน 4 เดือนแรกของปีนี้ มีเงิน FDI ที่ได้รับการอนุมัติรวม 168 โครงการ เป็นเงินทุนจดทะเบียนรวมกัน 6,357 ล้านดอลลาร์ ในนั้นเป็นการลงทุนในโครงการใหม่ 2,500 ล้านดอลลาร์ ที่เหลือเป็นการลงทุนเพิ่มในโครงการที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน
ตัวเลขยังจำแนกให้เห็นว่าการลงทุนส่วนใหญ่ในช่วงเดียวกันนี้ ทุ่มเข้าไปในภาคอสังหาริมทรัพย์ การพัฒนาที่ดินกับการก่อสร้าง ในนั้น 4,500 ล้านเป็นการก่อสร้างโรงแรม อีก 600 ล้านเป็นโครงการพัฒนาในเขตเมือง และ 680 ล้าน ก่อสร้างอาคารสำนักงาน
กระทรวง MPI กล่าวว่า FDI ในสีเดือนแรกของปีนี้ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเล็กน้อย
การลงทุนจากสหรัฐฯ ในเวียดนามได้พุ่งสวนทางกับวิกฤติการณ์ทางการเงินในประเทศ และ ดูมีลู่ทางแจ่มใสในช่วงเดือนที่เหลืออยู่ข้างหน้า ขณะที่การลงทุนจากเกาหลี ไต้หวันและฮ่องกง กระทั่งจากญี่ปุ่นเองเริ่มลดลงในช่วงนี้ อันเป็นผลกระทบโดยตรงจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก
นักวิเคราะห์กล่าวว่า เมื่อนึกถึงการลงทุนจากสหรัฐฯ คนทั่วไปส่วนใหญ่จะนึกถึงบริษัทอินเทลคอร์ป (Intel Corporation) ผู้ผลิตชิปและวงจรรวม (Integrated Circuit) รายใหญ่ที่สุดของโลก
อินเทลสร้างโรงงานผลิตและทดสอบชิปในเวียดนามตั้งแต่ปี 2549 โรงงานมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์ในนครโฮจิมินห์จะแล้วเสร็จในปลายปีนี้และเริ่มการผลิตต้นปีหน้า
สัปดาห์ที่แล้วบริษัท Global Electronics Service & Manufacturing Inc หรือ GES ซึ่งเป็นผู้ผลิตสารกึ่งตัวนำหรือเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำจากสหรัฐฯ ได้เปิดศูนย์เทคโนโลยีของบริษัทขึ้นในสวนอุตสาหกรรมไฮเทคแห่งเดียวกัน เพื่อออกแบบ ผลิตและพัฒนาเครื่องมือที่ใช้เซมิคอนดักเตอร์ เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้ผลิตสินค้าที่ต้องใช้สารกึ่งตัวนำเหล่านี้ ในอุตสาหกรรมอิเลกทรอนิกส์
ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ไซ่ง่อนไทมส์ โครงการลงทุนของ GES ได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาลเวียดนามตั้งแต่ปี 2550 จะมีการจ้างงานราว 500 คน ทั้งหมดจะต้องเรียนสำเร็จด้านเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัย
การลงทุนของสหรัฐฯ ยังคงเป็นข่าวทางสื่อในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งข่าวกลุ่มโรงแรมใหญ่ของสหรัฐฯ จะเปิดโรงแรมหรูแห่งใหม่ในปลายเดือน ก.ย.นี้
กลุ่มบริษัทโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (InterContinental Hotels Group) หรือ IHG ได้ประกาศแต่เนิ่นๆ กำหนดเปิดใช้โรงแรมเอเชียนาไซ่ง่อน (InterContinental Asiana Saigon) ซึ่งเป็นแห่งที่สองหลังจากเปิดแห่งแรกในฮานอยเมื่อกว่า 2 ปีก่อน.